วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วันที่ออกจากบ้านไปหาแรงบันดาลใจ

อาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2553

ออกเดินทางจากบ้านเมื่อเย็นย่ำแล้ว ตั้งใจมากจะไปดูละครเวที "ม้า..แค่อยากเป็นม้า ไม่อยากเป็นคน"ของอาจารย์โยที่ Democrazy Studio ทั้งที่โดยปกติวันเสาร์อาทิตย์ฉันจะไม่รับกิจนิมนต์ แค่ขึ้นต้นนรกก็จะกินหัว ด้วยบังอาจใช้ภาษาของพระ พูดง่ายๆ ไม่ออกไปไหนจากบ้านในวันเสาร์อาทิตย์ถ้าไม่ใช่เรื่องของครอบครัว  แต่วันนี้จะเป็นการแสดงรอบสุดท้ายของละครเรื่องนี้...ฉันไม่อยากพลาด เพราะฉันขาดแรงบันดาลใจ

สิ่งแรกที่ไปถึงโรงละคร ไม่ใช่การนั่งอ่านสูจิบัตรละคร หรือพูดคุยกับเพื่อนพ้องน้องพี่ในวงการถึงละครที่กำลังจะเข้าไปดู แต่คือการดูไพ่ยิปซีกับหมออ้อย...คนละครที่มีเซ้นส์พิเศษจนนำมาสู่รายได้พิเศษ เป็นลูกค้าคนแรกของหมอ ทั้งๆที่หมอยังเปิดสำนักไม่เสร็จดีด้วยซ้ำ หรือแรงบันดาลใจฉันจะอยู่ที่คำทำนายของหมอดู  ไม่ใช่การเสพย์งานศิลปะ  ^_^

คำทำนายของหมออ้อยเป็นดังนี้...
งานที่เผ้ารอคอยด้วยความหวังและมั่นใจว่าต้องได้???...ไม่ได้หรอกค่ะ T_T
งานที่เฝ้ารอคอยที่จะลงมือทำต่อ และอาจจะมีรายได้ที่ดีและเพิ่มมากขึ้น???...ก็ต้องรอหน่อยนะคะ สักสองเดือน...^_T
งานที่อยากทำแต่ไม่ค่อยสร้างรายได้เท่าไหร่???...โอ้ย สบายมาก ทำเลยค่ะ...๑_๑
งานที่ไม่อยากทำเลย แต่เงินดีนะ แต่ไม่อยากทำอ่ะ???...ไม่ทำก็โง่แล้วค่ะ (อันนี้ตีความเอาเอง) มันเป็นงานที่ดีและพี่ก็จะทำได้ีดี และมีเงินเข้า...T_T

ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่หวัง  ทำให้ผิดหวัง และเซ็ง  หมออ้อยปลอบใจว่า "ทำใจค่ะ" วางเฉย ปรับอารมณ์ให้นิ่ง แล้วทุกอย่างมันก็จะผ่านไปได้ พี่ตายยากค่ะ (อันนี้ก็ตีความเอาเองเหมือนกัน)
ฉันจึงพยายามสะกดจิตตัวเอง ทางที่ดีที่สุดนับจากนี้ไป ทำอะไรลงไปต้องไม่สร้างความหวังที่เข้าข้างตัวเอง ให้คิดซะว่า....เขาเอาก็บุญแล้ว หรือ ไม่เห็นจะแคร์ สมองกูยังคิดออกมาได้เรื่อยๆว่ะ ประมาณนี้ดีกว่าที่จะคิดว่า...งานฉันดี ยังไงเขาก็ต้องชอบ หรือ เขาซื้ออยู่แล้ว เพราะมันคือปรากฏการณ์ คิดไปได้ไงฟระ!!!

ถึงเวลาเข้าไปดูละคร ตั้งแต่ต้นจนจบ สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกคือ ทำไมมันทำให้ฉันรู้สึกเหงาอย่างนี้ โดยเฉพาะคำถามแรกที่ละครถามคนดู "เหนื่อยไหมที่ต้องเป็นในสิ่งที่ไม่อยากเป็น" หรือ "คุณต้องเป็นในสิ่งที่ไม่อยากเป็นมานานแค่ไหนแล้ว" อะไรทำนองนี้แหละ

ผู้กำกับได้แรงบันดาลใจมาจากวรรณคดีพื้นบ้านเรื่อง "แก้วหน้าม้า" แก้วแค่อยากเป็นม้าแบบนี้ ไม่ได้อยากเป็นคนสวย แต่ผัวและลูกกลับยอมรับที่แก้วเป็นคนสวย  และจากเรื่อง Hear the Wind Sing ของนักเขียนชาวญีุ่ปุ่น มุราคามิ เมื่ออ่านผลงานของเขาฉันสัมผัสได้ถึงความเหงาและความเปล่าเปลี่ยวของมนุษย์ทั้งๆที่คุณอาจจะอยู่ในสถานที่ที่อึกทึกที่สุดในโลก  ละครสร้างบรรยากาศเหงาๆออกมาได้ดี และตอบ Theme ได้ชัดเจนว่า เมื่อต้องเป็นใครที่ไม่ได้อยากเป็น...ทรมานมั้ย  ตัวละครบางตัว ไม่มีทางเลือกไหนที่จะดีไปกว่าการ "สร้าง" ให้ตัวเองเป็นแบบนี้ต่อไปดีกว่าจะยอมรับคววามจริง  ตัวละครบางตัวเลือกที่จะออกจากสิ่งที่ "สร้าง" เพื่อไปเผชิญกับความเป็นจริง ฉันรู้สึกว่า ไม่ว่าใครจะเลือกสร้างหรือไม่สร้าง แต่ทุกคนเลือกที่อยู่บนจุดของสิ่งที่เรียกว่า "มันทำให้ฉันมีความสุข" แล้วฉันล่ะ ????

ฉันมีทั้งความสุขและความทุกข์กับสิ่งที่ฉันสร้างและไม่ได้สร้าง แจกแจงได้ดังต่อไปนี้...
งาน...ฉันเลือกที่จะไม่เสแสร้งทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน ผลลัพธ์คือ...โคตรสุขเลย แต่ก็โคตรทุกข์เลยเพราะการเงินมันไม่เสถียรสำหรับคนภาระเยอะอย่างฉัน  แต่ก็ทุกข์ไม่นานเพราะหาทางออกได้เสมอ จะกลัวอะไรในเมื่อเรามีกัลยาณมิตร (อันนี้ก็คิดเอาเอง ไม่รู้ว่าเพื่อนจะคิดว่าเราเป็นกัลยาด้วยหรือเปล่า หรือจริงๆแล้วมันรำคาญเรามาก เลยช่วยเพื่อตัดความรำคาญ)  และการได้ทำงานกรุบกริบ เป็นงานที่จำใจทำ เพื่อเอามาสนับสนุนหนทางแก้ไขความทุกข์อันเกิดจากการทำงานที่รักซึ่งเป็นงานหลัก

เมีย...อันนี้เป็นสิ่งที่ฉันเรียกว่า ผีเข้าผีออก เพราะบางวันฉันก็อยากควบหนีไปให้ไกลสุดขอบโลก บางวันฉันก็อยากได้โล่ห์ ฉันเลยทำหน้าที่ในสถานภาพนี้ได้ชนิดที่เรียกว่าสุดขั้ว...เลวร้ายสุดๆในวันที่ไม่ได้อยากเป็นเมีย  และดีโคตรๆในวันที่ฉันเกิดพุทธิปัญญา  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แอคชั่นของฉันมันล้วนขึ้นอยู่กับพืนฐานของอารมณ์ที่ว่า...ฉันอยากมีความสุข...เข้าขั้นโรคจิตแล้วใช่มั้ย


แม่...สถานภาพนี้ฉันเต็มใจที่จะเป็นโดยไม่ต้องสร้าง  ฉันมีความสุขในทุกขณะจิตที่ได้ดูแลเลือดเนื้อเชื้อไขทั้งสองคน ถึงแม้บางเวลาจะทำให้ฉันน้ำตาเล็ด แต่ก็แอบเช็ดแล้วหันมาหน้าชื่นได้ใหม่ได้เสมอ

ส่วนองค์ประกอบและหน้าที่อื่นๆของชีวิต เช่น การเป็นลูกของแม่ การเป็นเพื่อนของเพื่อน ฯลฯ...ขอไม่พูดถึง เพราะฉันฉันมีความสุขตลอดเวลากับหน้าที่เหล่าันั้น และคิดว่าตัวเองก็หน้าที่ได้ดี โดยไม่ต้องสร้างอะไร

ละครปิดฉากด้วยฉากที่ผ่านการคิดและออกแบบมาแล้วเป็นอย่างดี ต้องรสนิยมฉันเป็นอย่างยิ่ง ตัวละครเข้ามาอยู่ในฉากที่ set ให้เป็นที่นั่งคนดูในโรงละคร ทุกคนลงนั่งประจำที่ หันหน้าออกมาที่คนดู (ตัวจริง) ผู้กำกับแจกหัวม้าให้ทุกคน  แล้วไฟก็ค่อยๆดิมขึ้นที่ตำแหน่งที่นั่งคนดู(ตัวจริง) ส่วนที่น่งคนดู (ในฉากละคร) ก็ค่อยๆดิมลง  เราจะเห็นว่าตัวละครกำลังจ้องมองดูเราอยู่ เหมือนเราเป็นตัวละครที่โลดแล่นบนเวทีสำหรับเขา  จากนั้นเขาก็จะค่อยๆตัดสินใจว่าจะสวมหัวม้าหรือไม่สวม....ฉันชอบฉากนี้ และฉันก็ตัดสินใจว่า  เมื่อฉันออกจากโรงละครนี้ไป  ฉันจะถือหัวม้าเอาไว้สวมในเวลาที่จำเป็นต้องสวม แล้วจะควบให้ได้ความเร็วและแรงประมาณ 4500 แรงม้า  และจะถอดหัวม้าออกกลายเป็นคน ที่ไม่จำเป็นต้องวิ่งเร็ว และแรง แค่เดินไปอย่างช้าๆ ด้วยก้าวที่มั่นคง ยิ้มให้กับทุกคนและทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต...ก็พอ

ท้ายบท :
แต่ฉันต้องวิ่งเพื่อไปให้ทันรถของผู้ชายที่จะจอดแวะรับหน้าปากซอยโรงละคร จนไม่มีเวลาจะยิ้ม พูดคุยร่ำลากับเพื่อนพ้องน้องพี่อย่างที่ตั้งใจไว้....นี่แหละ ความจริงที่เกิดขึ้นมักสวนทางกับสิ่งที่คิดเอาไว้ในหัวอยู่เสมอ