วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2554
ตอนห้าโมงเย็นของวันนี้ ฉันนอนดูหนังช่อง HBO เรื่อง "My Sister's Keeper" (ถ้าจำชื่อไม่ผิด) เพิ่งจะเคยดูหนังที่เจ๊ี่คาเมรอน ดิแอซ เธอเปลี่ยนแนวมาเล่นดราม่า รับบทแม่ผู้ทุ่มเททุกอย่างเพื่อยื้อชีวิตลูกสาวที่ป่วยเป็นลูคีเมีย ความสนใจในชีวิตของเธอมารวมศูนย์ที่ลูกสาวคนนี้ จนทำให้หลงลืมไปว่า เธอไม่ได้มีลูกแค่คนเดียว ยังมีลูกชายคนรองที่ฉันแอบลุ้นไม่ให้แอบเหงาจนลงเอยด้วยการฆ่าตัวตาย (แล้วคนเขียนบทก็เห็นใจฉัน)และลูกสาวคนสุดท้องที่มี mission ติดตัวมาตั้งแต่ตัวเองยังไม่ได้ปฏิสนธิ นั่นคือ...แม่ต้องการให้เกิดเพื่อจะได้อาศัยเลือดจากสายสะดือ ไขสันหลัง มารักษาอาการป่วยของพี่สาว และกำลังจะเลยเถิดไปถึงขั้นต้องสละไตข้างหนึ่ง
ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเห็นชอบของแม่เป็นหนึ่ง ส่วนเสียงของพ่อ แม่ไม่เคยได้ยิน และไม่ได้ยินเสียงของลูกสาวที่ป่วยด้วย ถึงแม้ลูกจะพยายามบอกหลายครั้งเป็นนัยๆว่า...ไม่อยากจะทรมานให้หมอผ่า ตัด สับบนเขียงอีกแล้ว อยากจะหยุดเพื่อไปรอพบคนที่เธอรักอีกครั้งหลังความตาย เมื่อแม่ไม่ฟัง พ่อก็อ่อนตามแม่ ลูกจึงหาทางทำให้แม่ยอมรับว่าความตายเป็นสัจธรรม และต้องปล่อยให้มันเป็นไปด้วยการสมคบคิดให้น้องคนเล็กที่อายุเพียง 11 ปียื่นฟ้องพ่อแม่ตัวเอง เพื่อปกป้องอวัยวะและปฏิเสธการผ่าตัดทุกอย่างที่พ่อแม่ไม่เคยถามความสมัครใจ!!!....แวร็งส์
ดูไปก็ร้องไห้ไปไม่หยุดเพราะสะเทือนใจ และเหมือนถูกตบหน้าในหลายๆฉาก จนรู้สึกไปว่าหน้าตัวเองบวมช้ำ เข้าใจในความรักของคนเป็นแม่ ไม่มีแม่คนไหนทำใจได้หากต้องมาเห็นลูกตายก่อนตัวเอง จึงทำได้ทุกอย่างเพื่อยื้อให้เขาอยู่กับเราให้ได้นานที่สุด แต่อีแม่ในเรื่องนี้ต่อสู้แบบหัวทะลุฝาและบ้าบิ่น สู้โดยไม่ยอมรับว่ามันต้องมีจุดจบ สู้โดยยอมแลกกับสิ่งที่มีค่าไม่น้อยไปกว่าชีวิตของลูกที่กำลังจะตาย นั่นก็คือชีวิตของลูกอีกสองคน และตัวตนของสามีที่ยอมให้เธอเป็นแม่ทัพออกรบกับพญามัจจุราชเพื่อยื้อแย่งชีวิตลูกสาวมาตลอด 14 ปีเต็ม...จนเกิดการตั้งคำถามว่าแท้ที่จริงแล้ว แม่คนนี้รักลูกหรือกลัวตัวเองจะเสียใจและสูญเสีย ตัวละครจะเรียนรู้และคิดได้หรือไม่ และคำตอบมันก็มีอยู่แล้วในหนัง เดาได้ไม่ยาก
สิ่งที่ได้มาหลังจากดูหนังจบนอกจากขอบตาอันแดงช้ำแล้วก็คือ...ถามลูกก่อนดีกว่าว่าเย็นนี้จะกินอะไร เดี๋ยวถูกฟ้อง ^_^
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น