วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สิ่งที่ยังหลงเหลือเมื่อผ่านกาลเวลา





กาลเวลาไม่ได้เป็นผู้ทำลาย แต่เป็นตัวทำละลายประสบการณ์และความคิดให้ตกตะกอน...จนก่อเกิด "การเรียนรู้จากความผิดพลาด"

ฉันเดินทางไปจังหวัดอยุธยากรุงเก่าของเราแต่ก่อน  คิดถึงเนื้อเพลงที่ครูเคยสอนตอนเด็กๆ ยังจำเนื้อร้องได้ถึงตอนจบ แต่ยังคงร้องเพี้ยนเหมือนเดิม กาลเวลาไม่ได้ทำให้ฉันร้องเพลงดีขึ้น แต่ทำให้ฉันเรียนรู้ว่า ควรไปคาราโอเกะให้บ่อยขึ้น...จะฮาไปไหน เข้าเรื่องดีกว่า ทริปนี้เราสามคนแม่ลูกทำตัวเป็นกาฝากขอติดสอยห้อยตามพ่อของลูกที่ต้องไปทำงานเป็นคอมเม้นเตเตอร์ของการประกวดวงดนตรีซึ่งเป็นไฮไลท์หนึ่งของงานประจำจังหวัด แต่คนส่วนใหญ่ของจังหวัดไปงานโต๊ะจีนที่จัดโดยกลุ่มคนเสื้อแดง...ฮาอีกแล้ว


วัดมหาธาตุเป็นสถานที่แรกที่ฉันพาลูกไปสัมผัส ลูกสาวคนโตดูสนใจจริงจัง ขอเดินไปทางนั้นทางนี้ ในขณะที่ฉันต้อง "อุ้ม" ลูกสาวคนเล็กที่ตัวไม่เล็กเดินดูภายในบริเวณโบราณสถานแห่งนี้เพราะกลัวพระไม่มีเศียรจนทำให้ไม่กล้าเดิน ทำให้ความพยายามที่จะดื่มด่ำกับร่องรอยประวัติศาสตร์ของฉันต้องปิดฉากลงในเวลาอันสั้น  มองกลับไปยังจุดที่จากมา ก็ต้องถอนใจเฮือก เกือบหนึ่งกิโลเมตรที่ต้องแบกก้อนเนื้อน้ำหนักยี่สิบสองกิโลกรัม ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น  เป็นบทเรียนราคาแพง รู้สึกเจ็บใจตัวเอง....ทำไมไม่เอารถเข็นเด็กติดมาด้วย!!!!  รถตุ๊กๆหน้าวัดคือคำตอบสุดท้าย

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันต้องแบกลูกสาวคนเล็กเพราะไม่มีรถเข็น ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลืมคิดไปว่าจริงๆแล้วเขาไม่ใช่เด็กโตที่จะเดินเป็นกิโลๆได้ เขาโตแต่ตัวเท่านั้น แต่ทำไมไม่รู้จักจำ...มนุษย์ไม่เคยเรียนรู้จากความผิดพลาด...ท่าจะเป็นความจริง นึกเปรียบเทียบกับสภาพผุพังของเหล่ากำแพง โบสถ์ วิหาร ปราสาทภายในบริเวณเมืองเก่าเหล่านี้ ก็เป็นความจริงเช่นเดียวกัน เมืองทองของเหล่าพี่น้องเผ่าพงศ์ไทยต้องพังพินาศด้วยเปลวไฟจากสงคราม จนเกินจะบูรณะซ่อมแซม  สร้างใหม่ง่ายกว่า จึงได้เกิดกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์สืบเนื่องต่อมา....ทุกคนเจ็บปวดกับการสูญเสีย และเข็ดขยาดกับสงคราม ไม่มีใครอยากเห็นสงคราม แต่ทำไมดูเหมือนว่าจะยังคงมีคนอยากให้เกิดสงคราม หรือไม่ก็กำลังทำสงครามกันอยู่แต่เป็นสงครามที่ไม่ได้มีรูปแบบเป็นกองทัพที่ประหัตประหารกันด้วยอาวุธ  แต่เป็นสงครามที่มาในรูปแบบต่างๆทั้งชนิดเหนือเมฆที่เราคาดไม่ถึงและชนิดบ้านๆที่เด็กสามขวบก็ยังดูออก  รู้ทั้งรู้ว่าสงครามมีแต่สร้างความสูญเสีย  แต่ยังจะทำให้มันเกิด หรือมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เสพย์ติดความเจ็บปวด เป็นมาโซคิสม์และซาดิสม์ในคราวเดียวกัน

สำหรับฉัน ตามประสาคนตัวเล็กๆและความจำสั้น วันนี้ผิดพลาด พรุ่งนี้ก็อาจจะพลาดอีกในเรื่องเดิมๆ แต่อย่างน้อยฉันก็รู้ตัวว่าพลาดเรื่องอะไร และเกิดความพยายามตั้งสติเพื่อจะลดสถิติความผิดพลาดของตัวเอง  แต่ในระดับมหภาค...ฉันไม่รู้ว่าคนจะยอมรับในความผิดพลาดแล้วนำมาซึ่งการตั้งสติและแก้ไขได้หรือไม่ 
วันนี้มาแนวค่อนข้างจริงจังเพราะเป็นประเด็นที่ฉันไม่เข้าใจ แต่ยังอยากจะเข้าใจ  แต่อาจจะไม่ยอมรับ เพราะฉันเชื่อเสมอว่า ชีวิตคนมันสั้นนัก จักสร้างความดีและประโยชน์ให้แก่กันไม่ดีกว่าหรือ จะเอาอะไรใส่ตัวไปนักหนา เกิดมาอย่างไร เมื่อถึงคราวตายก็ไปเท่านั้น ดูในรูปที่ถ่ายมาเป็นตัวอย่าง เหลือเพียงซากปรักหักพังผ่านกาลเวลา ไม่เห็นมีทรราชย์คนใดอยู่ยั้งยืนยงมาสั่งการใดๆในปี 2011 สักคน





ป.ล. ตอนนี้ขาข้างหนึ่งได้ยื่นเข้าไปอยู่ในทัณฑสถานหญิงเรียบร้อยแล้ว....ขอข้าวผัดและอเมริกาโน่ร้อนนะ...ฮามั้ยเนี่ย

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วันแห่งความรัก...ตัวเอง

14 กุมภาพันธ์ 2554
วันแห่งความรัก วาระพิเศษที่ทำให้หลายคู่ชวนกันไปเดทหวาน หรือคนไม่มีคู่ก็ถือโอกาสทำให้วันนี้เป็นวันแห่งการให้ นัยว่าอาจจะเกื้อหนุนนำให้เจอเนื้อคู่ที่ยังไม่รู้ว่าใครเร็วๆ หรือที่ยังไม่เกิดก็ขอให้รีบปฏิสนธิ มันเป็นวันที่มองไปทางไหนก็เห็นดอกกุหลาบบาน กระดาษห่อของขวัญรูปหัวใจ และคำอวยพรที่มีความรักเป็นนางเอก อืม...ภาพรวมโดยทั่วไป ทุกคนเลือกที่จะทำให้ตัวเองหัวใจเบิกบาน ส่วนฉันก็เลือกเหมือนกัน เลือกที่จะไม่หวานกับคนรัก  เพราะฉันเป็นคนเปรี้ยวติดขม หวานไม่เป็น แต่ไปเบิกบานกับ...ละครเวที....ช่อมาลีรำลึก

"เรื่องราวของสาวใหญ่วัยหมดแรงแต่อยากลอง feel อีกสักครั้งหลังจากมีชีวิตที่ไม่ได้ใช้มานาน ความแรงที่ซ่อนเร้นกำลังจะพาช่อมาลีออกไปจากกรงขังใจ แต่กว่าเจ๊แกจะยอมแรง มันต้องผ่านประตูกลกี่บานก็ห่ได้เดาออกไม่ มาร่วมเดินทางไปกับช่อมาลีที่จะพาเราไปเที่ยวไกลๆ...ไปโดดลงทะเลที่มันลึกลงไปชั่วนิรันดร์กัน" คำโปรยของละครเวทีเรื่องนี้...อืม อินเพราะค่อนข้างมีประสบการณ์ร่วม

"ช่อมาลีรำลึกได้แรงบันดาลใจจาก Shirley Valentine ของ Willy Russell (บทดั้งเดิมได้รับรางวัล the Laurence Olivier Awards 1998) และบทกลอนชื่อ Waiting ของ Faith Wilding   การแสดงครั้งนี้เป็นการ restage หลังจากเคยแสดงมาแล้วเมื่อปี 2551"
บทและกำกับโดย  ปานรัตน  กริชชาญชัย
นำแสดงโดย        เยาวลักษณ์ เมฆกุลวิโรจน์ และ ปานรัตน กริชชาญชัย
ขอปรบมือให้จนมือพังไปข้าง เพราะตลอดเวลาสองชั่วโมงกว่าๆ ฉันทั้งน้ำตาซึม จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะ แล้วกลับมาร้องไห้ จนกระทั่งยิ้มทั้งน้ำตาไปกับช่อมาลี แสงสุริยา ตัวละครเอกที่โคตรคล้ายฉันจริงๆ  ฉันไม่เล่ารายละเอียด ใครอยากรู้ว่าทำไมช่อมาลี แสงสุริยาถึงทำให้ฉันมีอาการคล้ายคนบ้า ก็ต้่องไปชมกันเอง สนใจหลังไมค์กันได้....แต่ที่ฉันอยากพูดถึงคือ...แรงบันดาลใจที่ได้จากช่อมาลี

หลาย dialogue ที่ออกจากปากของตัวละครทำฉันสะดุ้ง...นี่ไอ้คนเขียนบทมันถอดวิญญาณไปสิงอยู่ในบ้านฉันใช่มั้ย ตั้งแต่...ตอนช่อมาลีด่าผัว...แม่ง..เชี่ย หรือตอนที่ช่อมาลีไม่กล้าไปบอกผัวว่าตัวเองจะไปเที่ยว เพราะผัวจะต้องพูดให้ตัวเองรู้สึกผิด ทั้งๆที่มันสิทธิ์ของกู ในเมื่อกูทำหน้าที่ทุกอย่างดีที่สุดแล้ว...
เรียกได้ว่าโดนซะหลายดอก

และมีหลาย dialogue ที่ฉันพยายามท่องจำสุดฤทธิ์  "หม่าม๊าก็มีวงกลมของหม่าม๊า เก๋ก็มีวงกลมของเก๋ เราต่างมีพื้นที่ของตัวเอง เข้ามาเกี่ยวข้องกันได้ แต่ในที่สุดก็ต้องแยกกันไปนะ"

อีเก๋มันไม่เข้าใจแม่มันหรอกแต่ฉันเข้าใจ เพราะฉันพยายามสอนลูกอย่างนั้นอยู่ ในอนาคต ทั้งฉันและลูกจะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าต่างเป็นภาระต่อกัน แต่เรารักกัน หากจะทำอะไรให้กันก็ทำด้วยความรัก อย่ามารู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่  แต่ช่อมาลีไม่ได้มีโอกาสทำให้อีเก๋มันสำนึก อีเก๋ลูกที่คลั่งบีบีของช่อมาลีลุกขึ้นด่าแม่ว่าทุเรศ!!!  พอรู้ว่าแม่กำลังจะไปเที่ยวเมืองนอก หลังจากที่ดักดานเลี้ยงลูก ดูแลผัวปานคนใช้มานาน  ขณะที่ดู อยากจะตะโดนบอกช่อมาลีว่า...เพราะแกอ่อนแอ ไม่กล้าลุกขึ้นบอกผัวและลูกว่า...กูมีตัวตน!!!! 
แต่ฉันก็เปลี่ยนใจเมื่อช่อมาลีฟังเสียงหัวใจตัวเอง ลุกขึ้นตะโกนด่าใ่ส่หน้าผัวว่า..."ไอ้แปะ!!!! มึงมาข้ามหัวกูอีกมา มา !!!!!" แล้วช่อมาลีก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

ช่อมาลีรู้แล้วว่าตัวเองมีตัวตน มีร่างกายที่ยังต้องการ sex มีหัวใจที่ยังต้องการความซาบซ่าและหวามไหวยา่มใกล้ชิดตัวผู้ เธอต้องการใช้ชีวิตอย่างสิ่งที่มีชีวิต ไม่ใช่ที่น่ารกร้างว่างเปล่า และแล้วช่อมาลี แสงสุริยา สาวน้อยแสนซนคนเดิมก็กลับมา 

เอ๊ะ...ฉันบอกไปแล้วใช่มั้ยว่าจะไม่เล่ารายละเอียด...ยังน่า ยังมีอีกหลายรายละเอียดที่ยังไม่ได้เล่า โดยเฉพาะประโยคของช่อมาลีที่บอกว่า "ฉันรู้สึกชอบตัวเองขึ้นมาแล้วล่ะ".....ฉันไม่เคยบอกตัวเองอย่างนี้เลย ใช่ ตอนนี้ฉันก็รู้สึกแบบนี้ ในขณะที่เดินทางเกือบถึงหลักสี่อยู่รอมร่อ

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นทุกคนมีประสบการณ์ชีวิตที่ต่างกันไป สิ่งที่ได้และความประทับใจจากละครที่เข้าไปเสพก็ย่อมต่างกันไปด้วยตามประสบการณ์ตัวเอง  วรรคทองของฉันอาจจะเป็นแค่ประโยคพื้นๆของอีกคน  ฉันกรี๊ดกับสิ่งเล็กๆที่หลายคนอาจมองไม่เห็นแต่โคตรโดนใจ  ฉันอาจร้องไห้ให้กับบางประโยคในขณะที่อีกคนกลับไม่รู้สึก  เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งรู้สึกในสิ่งที่ฉันรู้สึก จนกว่าจะได้ไป "เสพ" ด้วยตัวเอง

ป.ล  เจ๊ช่อกับตุ๊กติ๊กกระตุ้นต่อมแรดฉันเข้าอย่างจัง...สุดสัปดาห์หน้า ฉันสัญญากับตัวเองและลูกๆว่าเราจะไปเที่ยวกัน...แล้วฉันก็เปิดหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมสำหรับเ็ด็กอย่างจริงจัง  ในที่สุดฉันก็พบ Destination...นครนายก หุหุหุ