วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

ครั้งหนึ่งในชีวิต

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2554
ฉันไปประชุมในฐานะ "คนเขียนบท" ของละครเพลงเทิดพระเกียรติในหลวง "ความฝันอันสูงสุด" The Musical for the King ที่มีกรมประชาสัมพันธ์เป็นเจ้าภาพ ดำเนินงานโดยบริษัท Phoenix Agency จำกัด กำกับการแสดงโดย พี่ต้อ มารุต สาโรวาท นำแสดงโดยนักแสดงชั้นนำของเมืองไทย เช่น พอร์ช ศรันย์  จ๊ะ จิตตาภา สุรชัย สมบัติเจริญ ชรัส เฟื่องอารมย์ นึกคิด บุญทอง รุ้งลาวัณย์(หนูหิ่น) เป็นต้น และมีพี่เอ๋ นรินทร ณ บางช้างเป็นผู้ผลิตเพลงและควบคุมการฝึกสอนร้องเพลง  วันนี้เป็นวันแรกที่ได้เจอหน้าค่าตาทีมงานทั้งหมดและพูดคุยทำความเข้าใจในตัวเรื่อง ซึ่งพูดถึง ความฝันอันสูงสุดของพ่อที่ต้องการเห็นลูกๆมีความสุขบนวิถีแห่งความพอเพียง และรักสามัคคีกัน

เมื่อลงรายละเอียด ใช้เวลาไปกับการพัฒนาเรื่อง พัฒนาตัวละคร และพัฒนาบทจนจบร่างเกือบสมบูรณ์ ความรู้สึกภายในหัวใจฉันกลับไม่จบ ฉันอาสาทำงานเพิ่มเพื่อขอเดินทางร่วมไปกับทีมโปรดักชั่นในการผลิตละครเพลงเทิดพระเกียรติเรื่องนี้จนถึงวันแสดง ด้วยเหตุผลเดียว...ฉันรักในหลวง

วันที่ 9 มิ.ย 2554 จะเป็นวันที่มีการถ่ายทอดสดละครเพลงเรื่องนี้จากสนามรัชมังคลาภิเษกที่มีคนเข้าชมการแสดงกว่า 70,000 คน ไปทั่วประเทศและที่สำคัญ....ในหลวงจะทอดพระเนตรการถ่ายทอดสดนี้จากจอยักษ์ใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ท่าน้ำศิริราช....ครั้งแรกและอาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตของฉันที่จะมีโอกาสได้ร่วมถ่ายทอดความจงรักภักดีผ่านสายตาของพ่อ


พี่ต้อมารุตพูดกับนักแสดงถึงหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ได้จับใจฉันเหลือเกิน....พ่อไม่ได้สอนให้เราปฏิเสธความเจริญ เพียงแต่จะนำมาใช้อย่างไรโดยไม่ให้เราต้องสูญเสียความเป็นตัวตนที่ดีงาม ใช้อย่างไรให้พอเหมาะพอดี ไม่เกินแต่ก็ไม่ขาด เพื่อให้เรามีความสุขอย่างยั่งยืน ซึ่งนี่คือความฝันอันสูงสุดของพ่อที่ตรากตรำทำงานหนักมาตลอดเวลา ไม่มีวันหยุด ไม่มีเสียงบ่นว่าเหนื่อยให้เราได้ยิน เหงื่อของพ่อที่หยาดหยดแต่พ่อไม่ได้ใส่ใจ กลับลงนั่งบนพื้นพิงล้อรถ กางแผนที่แล้วให้คำแนะนำเพื่อช่วยเหลือลูกๆทุกคนในทุกตารางนิ้วของประเทศนี้ให้อยู่ดีกินดี  หลายๆครอบครัวได้พ้นจากสภาพหลังชนฝา จนยิ่งกว่าหมา (อันนี้ฉันเขียนเอง พี่ต้อไม่ได้พูด) พลิกฟื้นจากชีวิตที่ติดลบมามีชีวิตใหม่และร่ำรวยความสุข ...พ่อเหนื่อยมามากเหลือเกิน สมควรเหลือเกินที่คนอายุ 84 ปีที่นอนป่วยอยู่ที่ศิริราชควรที่จะได้พักผ่อน แต่ก็ยังพักไม่ได้ เพราะอะไร...จะให้พ่อมีความสุขได้อย่างไร ในเมื่อทุกวันนี้ลูกๆยังตีกัน...

พี่ต้อพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ขาดห้วงเพราะพยายามข่มอารมณ์ให้เป็นปกติต่อหน้านักแสดงและทีมงานทุกคนที่คงมีความรู้สึกไม่ต่างไปจากพี่ต้อ ทุกคนที่มารวมตัวกัน ณ ตอนนี้ไม่ได้รับงานเพราะมันเป็นอาชีพเพียงอย่างเดียว แต่ทุกคนมาด้วยหัวใจที่อัดแน่นไปด้วยความจงรักภักดี  เมื่อนับถอยหลังเวลาสำหรับการซ้อมเหลือไม่มาก ทุกคนกริ่งเกรงว่าจะทำงานกันทันหรือไม่ เพราะขั้นตอนของการผลิตละครเวทีที่เป็นละครเพลงมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ  แต่ฉันเชื่อในพลังความศรัทธา เมื่อทุกคนมีในหลวงอยู่ในหัวใจ ไม่ว่าจะเจอกับอุปสรรคที่ยากเย็นมากแค่ไหน...ทุกคนจะต้องก้าวข้ามไปได้ในที่สุด


ฉันไม่รู้หรอกว่ามีปัจจัยอะไรที่ทำให้ความฝันอันสูงสุดของพ่อยังไม่เป็นความจริง  ฉันไม่รู้หรอกว่าคนไทยทั้งหมดกว่า 60 ล้านคนจะมีพลังแห่งความศรัทธาเหมือนฉันหรือไม่  แต่ฉันรู้ดีว่า....สิ่งที่พ่อสอน สิ่งที่พ่อทำมาตลอดเป็นสิ่งที่ฉันสามารถลงมือปฏิบัติตามได้โดยไม่มีความลังเลสงสัย เพราะพ่อสอนในสิ่งที่เป็นธรรมะ เป็นความจริง พ่อไม่ได้พาพวกเราไปตาย แต่กำลังพาพวกเราไปสู่การมีชีวิตที่ดีและมีความสุข  มีแต่พวกหัวใจมืดบอดเท่านั้นที่มองไม่เห็นรอยเท้าพ่อและไม่ได้ยินเสียงของพ่อ



วันนั้นฉันจะร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีกับคนไทยกว่า 70,000 คนจากสนามรัชมังคลาภิเษกและคนไทยทั่วประเทศที่ชมการถ่ายทอดสดทาง สทท.ช่อง11 อย่างสุดเสียง โดยไม่สนใจว่าจะร้องเพี้ยนหรือไม่ เพราะไม่ว่ายังไงมันก็ต้องเพี้ยนอยู่แล้ว  คนอย่างฉันแค่หายใจยังเพี้ยน (พี่เอ๋ นรินทรบอกไว้ แต่ฉันขอปฏิเสธ ไม่ใช่แค่ลมหายใจที่เพี้ยน ชีวิตฉันทั้งชีวิตมันก็เพี้ยน) แต่ฉันจะร้องออกมาให้สุดพลัง สุดขอบโลก ให้กึกก้องไปจนถึงโรงพยาบาลศีิริราชโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องขยายเสียง ไม่ต้องพึ่งองค์ประกอบใดๆ มีเพียงหัวใจที่หล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับคนไทยทุกคน  หัวใจที่รักพ่อ อยากให้พ่อมีความสุข อยากให้พ่อรับรู้ถึงพลังแห่งความรักความศรัทธาที่คนไทยทุกคนมีต่อพระเจ้าแผ่นดินผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยทิ้งแผนที่ประเทศไทยให้ห่างมือ....King of King...ทรงพระเจริญ





วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

วันขวัญกระตุก!!!!

ฉันส่งงานที่ได้รับมอบหมายตามหน้าที่ แต่งานของฉันไม่ใช่งานที่แค่ทำให้เสร็จ แต่มันเป็นงานที่ต้องมีจิตวิญญาณอยู่ในนั้น ซึ่งงานของฉันชิ้นนี้...ไม่มี เป็นคำวิจารณ์จากเพื่อนร่วมทีมที่รู้สึกว่างานของฉันผิดฟอร์ม...ฉันตกใจ นี่ขนาดแค่ทีมวิจารณ์ แล้วถ้าคนตรวจงานได้อ่านแล้วฉันไม่ต้องลงหลุมเลยหรือไร

ไม่มีอะไรจะน่าสิ้นหวังสำหรับนักเขียนมากไปกว่าคนอ่านไม่รู้สึกถึงวิญญาณและความมีชีวิตเมื่ออ่านจบ....ฉันผิดหวังกับตัวเองและเกิดจินตนาการไปไกล ฉันอาจจะถูกถอดจากงานชิ้นนี้ ยังไม่พอ...ฉันไปไกลกว่านั้น ฉันมาถึงจุดจบของอาชีพนี้แล้วหรือ คิดวนเวียนอยู่ในหัวจนไม่มีสติจะทำอะไรอย่างอื่น ฉันตัดสินใจโทรศัพท์หาบุุคคลดังต่อไปนี้

ที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณ....เขาไม่รับสาย ไม่เป็นไรโทรหาเพื่อนรัก....อืมได้คำปลอบใจและคำด่าในเวลาเดียวกัน จะคิดไปไกลเกินกว่าเหตุมั้ย นี่เป็นเรื่องปกติสำหรับการทำงานที่ย่อมมีทั้งคำเยินยอสรรเสริญและ....การถูกปฏิเสธ แต่ไม่ได้หมายความว่า การถูกวิจารณ์หนึ่งครั้งคือการตัดสินประหารชีวิต  อืม...ก็อาจจะจริง เพราะที่ผ่านมา ฉันไม่ค่อยได้เจอปัญหาจากเรื่องงาน (นอกเสียจากว่าไม่มีงานทำกันไปเลย) มีเพียงชีวิตส่วนตัวที่เป็นปัญหา

วางสายจากเพื่อนรัก  หาทางออกและวิธีแก้ปัญหาที่ทำให้งานขาดพลัง  หนึ่งสองสามสี่ห้าหกวิธี กำลังตั้งสติได้ ที่ปรึกษาทางจติวิญญาณโทรกลับมา แต่ฉันตัดสินใจที่จะไม่ปรึกษาต้องการแก้ปัญหาทางจิตนี้ด้วยตัวเอง...แต่เอาซะหน่อยก็ได้ ฉันยิงคำถามทันที "พี่คะ หนูจะตกงานมั้ยอ่ะ"...อีนี่...ไม่หน่อยแล้วนะ มันแสดงถึงความเยอะชัดๆ

"เพราะสมาธิกระจัดกระจาย ด้วยเรื่องมากมายที่ต้องคิด ต้องสวดมนตร์ทำสมาธิก่อนทำงานและที่สำคัญ ควรนั่งทำงานในที่สงบเงียบ การเลี้ยงลูกไปทำงานไป...งานที่ออกมามันจะไม่ดีหรอก...ทำอย่างนี้แล้วเขาจะชอบงานของเรา"...ถูกใจใช่เลย นี่คือทางสว่างทำให้เกิดปัญญา เหมือนได้เกิดใหม่หลังจากรู้สึกเหมือนตายไปแล้วชั่วระยะหนึ่ง

จากอาการจิตตกพลิกกลับมาเป็นอาการจิตเบิกบาน และบานมากกว่าเดิม ฉันพร้อมตั้งรับคำวิจารณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มและคำพูดสั้นๆว่า....หนูจะสู้ค่ะ....โดยให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ฟูมฟาย จะไม่โยนความผิด จะไม่ ฯลฯ....เห็นมั้ยว่าฉันเป็นนางจินจริงๆ (หมายถึงจินตนาการไปไกลได้เสมอ)


แล้ววันพิพากษาก็มาถึง แต่...มันไม่เลวร้ายอย่างที่คิด แต่...ไม่ได้หมายความว่าคนตรวจงานไม่ได้รู้สึกเหมือนที่เพื่อนร่วมทีมฉันรู้สึก....งานฉันมันไม่มีวิญญาณ แต่วันนี้ฉันมาด้วยจิตเบิกบาน ด้วยรอยยิ้มและคำพูดสั้นๆ...หนูจะสู้ค่ะพี่....เพราะหัวใจฉันเปิดรับและตั้งใจรับกับสถานกรณ์เอาไว้แล้ว ฉันจึงไม่เกิดอาการปลาช็อคน้ำเย็นเหมือนก่อนหน้านี้  ฉันรับฟังคำวิจารณ์ด้วยใจสงบ และตื่นตัวที่จะรับฟัง จดบันทึกไว้ในสมองว่านี่คือบทเรียนสำคัญของชีวิต  ที่ถูกกระตุกให้หันกลับมามองตัวเอง และฉันก็ได้เห็นว่าตัวเองกำลังทำทุกอย่างด้วยอาการหลังพิงเชือกชกไปวันๆ ควรจะลุกขึ้นมาขยันเต้นฟุตเวิร์คบ้างไรบ้าง ก่อนจะถูกน็อคร่วงลงสลบคาพื้นเวทีโดยที่ยังไม่หมดยก

ป.ล พี่สาวคนงามบอกว่า...ชีิวิตจริงอย่าไปเยอะกับมัน...น้อยๆ...แต่ให้มาเยอะกับงานแทนดีกว่านะ...ฉันรู้แล้วล่ะว่าจะแต่งตั้งใครเป็นที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณนัมเบอร์ทู หุหุหุ