ฉันส่งงานที่ได้รับมอบหมายตามหน้าที่ แต่งานของฉันไม่ใช่งานที่แค่ทำให้เสร็จ แต่มันเป็นงานที่ต้องมีจิตวิญญาณอยู่ในนั้น ซึ่งงานของฉันชิ้นนี้...ไม่มี เป็นคำวิจารณ์จากเพื่อนร่วมทีมที่รู้สึกว่างานของฉันผิดฟอร์ม...ฉันตกใจ นี่ขนาดแค่ทีมวิจารณ์ แล้วถ้าคนตรวจงานได้อ่านแล้วฉันไม่ต้องลงหลุมเลยหรือไร
ไม่มีอะไรจะน่าสิ้นหวังสำหรับนักเขียนมากไปกว่าคนอ่านไม่รู้สึกถึงวิญญาณและความมีชีวิตเมื่ออ่านจบ....ฉันผิดหวังกับตัวเองและเกิดจินตนาการไปไกล ฉันอาจจะถูกถอดจากงานชิ้นนี้ ยังไม่พอ...ฉันไปไกลกว่านั้น ฉันมาถึงจุดจบของอาชีพนี้แล้วหรือ คิดวนเวียนอยู่ในหัวจนไม่มีสติจะทำอะไรอย่างอื่น ฉันตัดสินใจโทรศัพท์หาบุุคคลดังต่อไปนี้
ที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณ....เขาไม่รับสาย ไม่เป็นไรโทรหาเพื่อนรัก....อืมได้คำปลอบใจและคำด่าในเวลาเดียวกัน จะคิดไปไกลเกินกว่าเหตุมั้ย นี่เป็นเรื่องปกติสำหรับการทำงานที่ย่อมมีทั้งคำเยินยอสรรเสริญและ....การถูกปฏิเสธ แต่ไม่ได้หมายความว่า การถูกวิจารณ์หนึ่งครั้งคือการตัดสินประหารชีวิต อืม...ก็อาจจะจริง เพราะที่ผ่านมา ฉันไม่ค่อยได้เจอปัญหาจากเรื่องงาน (นอกเสียจากว่าไม่มีงานทำกันไปเลย) มีเพียงชีวิตส่วนตัวที่เป็นปัญหา
วางสายจากเพื่อนรัก หาทางออกและวิธีแก้ปัญหาที่ทำให้งานขาดพลัง หนึ่งสองสามสี่ห้าหกวิธี กำลังตั้งสติได้ ที่ปรึกษาทางจติวิญญาณโทรกลับมา แต่ฉันตัดสินใจที่จะไม่ปรึกษาต้องการแก้ปัญหาทางจิตนี้ด้วยตัวเอง...แต่เอาซะหน่อยก็ได้ ฉันยิงคำถามทันที "พี่คะ หนูจะตกงานมั้ยอ่ะ"...อีนี่...ไม่หน่อยแล้วนะ มันแสดงถึงความเยอะชัดๆ
"เพราะสมาธิกระจัดกระจาย ด้วยเรื่องมากมายที่ต้องคิด ต้องสวดมนตร์ทำสมาธิก่อนทำงานและที่สำคัญ ควรนั่งทำงานในที่สงบเงียบ การเลี้ยงลูกไปทำงานไป...งานที่ออกมามันจะไม่ดีหรอก...ทำอย่างนี้แล้วเขาจะชอบงานของเรา"...ถูกใจใช่เลย นี่คือทางสว่างทำให้เกิดปัญญา เหมือนได้เกิดใหม่หลังจากรู้สึกเหมือนตายไปแล้วชั่วระยะหนึ่ง
จากอาการจิตตกพลิกกลับมาเป็นอาการจิตเบิกบาน และบานมากกว่าเดิม ฉันพร้อมตั้งรับคำวิจารณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มและคำพูดสั้นๆว่า....หนูจะสู้ค่ะ....โดยให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ฟูมฟาย จะไม่โยนความผิด จะไม่ ฯลฯ....เห็นมั้ยว่าฉันเป็นนางจินจริงๆ (หมายถึงจินตนาการไปไกลได้เสมอ)
แล้ววันพิพากษาก็มาถึง แต่...มันไม่เลวร้ายอย่างที่คิด แต่...ไม่ได้หมายความว่าคนตรวจงานไม่ได้รู้สึกเหมือนที่เพื่อนร่วมทีมฉันรู้สึก....งานฉันมันไม่มีวิญญาณ แต่วันนี้ฉันมาด้วยจิตเบิกบาน ด้วยรอยยิ้มและคำพูดสั้นๆ...หนูจะสู้ค่ะพี่....เพราะหัวใจฉันเปิดรับและตั้งใจรับกับสถานกรณ์เอาไว้แล้ว ฉันจึงไม่เกิดอาการปลาช็อคน้ำเย็นเหมือนก่อนหน้านี้ ฉันรับฟังคำวิจารณ์ด้วยใจสงบ และตื่นตัวที่จะรับฟัง จดบันทึกไว้ในสมองว่านี่คือบทเรียนสำคัญของชีวิต ที่ถูกกระตุกให้หันกลับมามองตัวเอง และฉันก็ได้เห็นว่าตัวเองกำลังทำทุกอย่างด้วยอาการหลังพิงเชือกชกไปวันๆ ควรจะลุกขึ้นมาขยันเต้นฟุตเวิร์คบ้างไรบ้าง ก่อนจะถูกน็อคร่วงลงสลบคาพื้นเวทีโดยที่ยังไม่หมดยก
ป.ล พี่สาวคนงามบอกว่า...ชีิวิตจริงอย่าไปเยอะกับมัน...น้อยๆ...แต่ให้มาเยอะกับงานแทนดีกว่านะ...ฉันรู้แล้วล่ะว่าจะแต่งตั้งใครเป็นที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณนัมเบอร์ทู หุหุหุ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น