วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เทวดากลับสวรรค์


วันนี้ฉันเขียนบทตอนสั่งลาของ sit com เรื่องเทวดา...สาธุ ซึ่งแบ่งกันเีขียนกับน้องที่เป็นทีมเดียวกันคนละครึ่ง...ส่งให้โปรดิวเซอร์....เมื่อกด send เรียบร้อย....ใจฉันหาย


ย้อนกลับไปเมื่อประมาณสามปีที่แล้ว ฉันเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งในทีมเขียนบทของละคร sit com เรื่องนี้ ทั้งๆที่ฉันยังไม่เคยเขียน sit comมาก่อนเลยในชีวิต ที่ผ่านมาได้แต่เขียนละครยาวและละครซีรีส์จบในตอน แต่ไม่ใช่ sit com...ฉันเต็มใจที่จะเข้าไปร่วมทีม แต่ฉันไม่มั่นใจในฝีมือของตัวเอง

กว่าจะคลอดตอนแรกที่พอจะผ่านด่านโปรดิวเซอร์ไปใช้ในการถ่ายทำได้ ใช้เวลากว่าสามเดือน เป็นสามเดือนที่ฉันไม่้ได้มีรายได้จากที่ไหน เพราะขณะนั้นยังไม่มีละครยาวให้เขียน เทวดา...สาธุจึงเป็นแหล่งรายได้เพียงที่เดียว  แต่เป็นสามเดือนที่หากยังไม่มีบทใช้ถ่ายทำ ก็จะยังไม่ได้รับเงินตอบแทน จึงเป็นสามเดือนที่ฉันต้องอดทนรวมถึงทนอด เพื่อพิสูจน์ว่า...มันต้องเขียนได้สิวะ

เพราะฉันต้องปรับ ต้องจูนและต้องเปลี่ยนวิธีคิดเพื่อเป็น "เทวดา...สาธุ" ให้ได้ตามโจทย์ ซึ่งต้องใช้เวลาและต้องให้เวลากับมัน ตอนแรกผ่านด่านโปรดิวเซอร์ไปได้ แต่เมื่อถึงด่านผู้กำกับฯ คอมเม้นต์ที่ได้คือ "ฉันไม่ชอบ บทมันงงๆ"....ก็หนูเขียนแบบงงๆนี่คะป้า แล้วลูกหนูมันจะไม่งงตามแม่มันได้ยังไง

แต่ฉันก็ยังดื้อและด้านอยู่ร่วมทีมต่อไป แก้ใช่มั้ย....ได้....ห้าร่างใช่มั้ย...ไม่มีปัญหา...ประกอบกับภาวะวิกฤติเรตติ้งต่ำ ความกดดันจึงตกอยู่ที่ทีมเขียนบทเป็นด่านแรก มันยิ่งเพิ่มความหนักหนาจนรู้สึกได้ถึงความแสนสาหัสกว่าจะเขียนบทจนสำเร็จได้หนึ่งตอน จนแอบคิดไม่ได้ว่า....คุ้มมั้ยเนี่ย  และแอบคิดด้วยว่า จะลาออกดีมั้ยเนี่ย...แม่งยากเหลือเกิน.....แต่ฉันก็ยังอยู่ 

ฉันรู้ว่าการเขียน sit com ไม่ใช่โปรไฟล์ใหญ่โตสำหรับคนเขียนบทบางคน แต่สำหรับฉัน มันคือพื้นที่ที่ฉันจะได้ทำความดีผ่านสิ่งที่ฉันถนัด ถึงจะยังทำได้ไม่ดี ก็ควรจะทำต่อไปให้มันดี  และฉันก็ผ่านพายุไซโคลน ทอร์นาโด ทวิตเตอร์ ไต้ฝุ่นและสารพัดวิกฤติมาได้....ในขณะที่เพื่อนร่วมทีมหลายคนค่อยๆเฟดหายไปด้วยเหตุผลและวาระต่างๆกัน  สุดท้ายจากทีมบทอันหนาแน่นถึงหกคนก็เหลือเพียงเดนตายสองคน ที่ยังคงมาประชุม สาดมุขกันอย่างที่เราให้คำจำกัดความว่า "ไม่ระยำทำไม่ได้" ทั้งๆที่มันเป็นละครส่งเสริมคุณธรรมที่มีความดีเป็น Theme....แต่เพราะเรารู้จักความชั่วเราเลยมองเห็นความดีไงคะ คุณผู้ชม....และแล้วก็มาถึงโค้งสุดท้าย  ทีมเราก็ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ที่ให้ใจเต็มร้อยเพิ่มมาอีกคน

ช่วงโค้งสุดท้าย เป็นการประชุมที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา พวกเรารู้สึกว่า เรามากันถูกทางสำหรับบทของรายการที่อยู่ในช่วงเวลาโคตรดึกของวันอาทิตย์....เรตติ้งเป็นฉันใด เราไม่ได้สนใจอีกต่อไปแล้ว เงินค่าบทได้แค่ไหน เราก็ไม่ได้เอามาเป็นสาระ ขอแค่นักแสดงสนุกที่ได้เล่น ขอแค่มีสิ่งที่พวกเราอยากขีดเส้นใต้เพื่อบอกคนดูว่า....วันนี้เทวดาจะสอนอะไรให้กับมนุษย์ขี้เหม็นๆ ผ่านสถานการณ์เตี้ยๆ ต่างๆ (เตี้ย เป็นคำเดียวกับคำว่าเหี้ย ที่เราชอบใช้แทนกัน)....คนอื่นคิดยังไง ฉันไม่รู้ แต่ฉันคิดอย่างนี้

ตอนสุดท้าย....มันมาเร็วมาก อาจจะพอได้กลิ่นมาบางๆ แต่ก็เข้าใจ ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เป็นสัจธรรม แต่แค่ใจหายที่กิจวัตรบางอย่างของชีวิตหายไป จากที่เคยไปเที่ยวชุมชนเทวาพิทักษ์ ได้เห็นพฤติกรรมที่น่าปวดหัวของโกตัน เสี่ยกวง เพชร จ๊อด สำรวม....คนที่ไม่เคยเรียนรู้ความผิดพลาด สร้างความวุ่นวายได้ทุกครั้งที่โอกาสอำนวย  ได้เห็นความเพี้ยนของพลอยใส...ผู้หญิงสวย ความคิดดีแต่ก็สามารถทำผิดได้ ได้เห็นพัฒนาการของสาวน้อยสำลี...จากเด็กมัธยมต้นเจ้าความคิด ก็เติบโตเป็นสาวน้อยวัยใส ที่คอยปรามผู้ใหญ่วัยทองให้ได้สติ...ได้ขอพรเทวดา...สาธุ และเทวัญ....แรงดลใจ อำนาจฝ่ายดีของมนุษย์ที่น่านับถือ ได้ต้อนรับโมทนา เทวดาท่าจะบ๊องส์ที่เข้ามาสร้างสีสันในการสั่งสอนและแก้เผ็ดมารอย่างภีมะ....มารตัวดำที่น่าเอ็นดูในสายตาของฉัน....มารที่เทวดาไม่เคยกำจัดได้สำเร็จ เหมือนจะบอกกับทุกคนว่า ตราบใดที่มนุษย์ยังมีกิเลส ตราบนั้นภีมะก็จะยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ตัวทุกคน

ฉันกด send ส่งบทตอนสุดท้าย....นั่งมอง email address ของเทวดา...สาธุ ที่ชื่อ tewadasatuee@gmail.com อีกครั้ง...นึกภาวนาถึงเทวดาต้นไทร  ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ส่งสา่รถึงเทวดา ขอให้ได้รับรู้ ท่านจะอยู่ในหัวใจของเราตลอดไป เพราะเราเชื่อว่า....เราทุกคนคือเทวดา เทวดา คอยรักษาตัวเอง ไม่ต้องคอยให้ใครเอื้อมมือ ไม่ต้องคอยให้ใครนับถือ ศรัทธาและความดีงามอยู่ในตัวเธอ...สาธุ

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เบื่อๆแล้วทำอะไร

มีพี่ที่เคารพถามฉันว่า "เบื่อๆแล้วแกทำอะไรวะ แหม่ม"

แวบแรกของความคิด ฉันถามตัวเองว่า "เคยเบื่อมั้ย" ไม่นะ แต่โคตรเบื่อถึงขั้นเซ็งไปเลยล่ะ สมองรีบประมวลความคิดต่อไป เพื่อตอบคำถาม "ฉันไม่ได้ทำอะไร แต่รีบกำจัดความคิดนั้นทิ้งไป แล้วเดินหน้าอยู่กับสิ่งที่ทำให้ตัวเองเบื่อและเซ็งต่อไปให้ได้ ให้เสร็จ ให้จบ!!!" แต่ฉันไม่ได้ตอบพี่ที่เคารพไปอย่างนั้น

ฉันตอบพี่เขาไปว่า "ไปดูหนังพี่" และ "ขับรถไปไหนก็ได้เรื่อยเปื่อยพี่" และ "นอนพี่"....ฉันไม่ได้พูดโกหก ฉันทำสิ่งเหล่านี้จริงๆ แต่ไม่ได้ทำตอนที่เบื่อ แต่ทำหลังจากที่ผ่านอารมณ์เบื่อมาแล้ว เหมือนกับการปลดปล่อย และให้รางวัลตัวเอง เข้าทำนอง "ซะหน่อย" นี่ถ้าโสดๆ มันคงไม่ใช่แค่การเดินเข้าโรงหนังคนเดียว หรือขับรถไปเที่ยว...แต่คงแบกกระเป๋าสะพายเป้ ออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่งสักพัก  แต่บางทีการพูดสิ่งที่ตัวเองคิดไปจริงๆ...อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่เข้าใจ

การแก้ปััญหาและหาทางออกของคน มันไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือทุกคนต้องประสบภาวะเบื่อ เซ็ง ท้อแท้มาด้วยกันทั้งนั้น บางคนก็ก้าวข้ามมาได้แบบสบายๆ เพราะรู้จักวิธีจัดการปัญหาและอารมณ์ตัวเอง บางคนกลับผ่านไปได้อย่างยากลำบาก และบางคนยังหลงเวียนวนอยู่ในนั้น โดยไม่มีทีท่าว่าเมื่อไหร่ถึงจะหายดี

ฉันยังเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ที่บางครั้งก็ตกเป็นเหยื่ออารมณ์ ทำให้ตัวเองจ่อมจม ซึมเศร้า หม่นหมองได้....แต่คงในชั่วเวลาที่ไม่นานนัก เพราะชีวิตประจำวันล้วนมีหน้าที่และความรับผิดชอบรออยู่มากมายก่ายกอง จนแทบไม่เหลือเวลาและพื้นที่ให้ตัวเองได้ดราม่าสักเท่าไหร่  นานๆเข้ามันก็กลายเป็นความเคยชิน  อยากจะตอบคำถามพี่ที่เคารพไปว่า "หนูเบื่อไม่ได้พี่" และก็อดพูดกับตัวเองไม่ได้ว่า "เบื่อๆบ้างก็ได้นะ จะได้ไม่ลืม ว่าแกเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เรียกว่าคน"

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วันแรกก็โดนซะแล้ว

เธอเดินทางฝ่าการจราจรที่ติดขัด ทั้งๆที่สภาพร่างกายยังอิดโรยจากอาการฟื้นไข้ แต่มันไม่มีทางเลือก....เงินค่าจ้างจากการทำงาน...เธอต้องรีบไปเอามันมาเพื่อสำรองไว้ในกระเป๋า ครอบครัวที่ยังต้องเลี้ยงลูกเล็กๆ การไม่มีเงินสำรองไว้ภายในบ้าน มันหมายถึงความสิ้นหวัง และเธอก็เคยสิ้นหวังมานับครั้งไม่ถ้วนจนรู้รสชาติของมันดี และไม่อยากจะลิ้มรสมันอีก
......เธอรีบจัดการแปรสภาพกลายเป็นเงินสด รู้สึกอุ่นใจขึ้นทันทีทันใด ไม่มีอะไรทำให้เธอมั่นคง มั่นใจและปลอดภัยได้เท่ากับมิสเตอร์เอ็มอีกแล้ว (มิสเตอร์เอ็ม= Mister Money) ลืมมิสเตอร์แมนไปได้เลย...เธอรีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านที่เกิดจากอาการน้อยใจใครบางคนที่เธอพยายามจะแทนที่ด้วยอากาศ ก่อนจะเดินดิ่งไปจัดการรับเสื้อนักเรียนลูกที่สั่งปักชื่อเอาไว้ชนิดเร่งด่วน เพราะเปิดเทอมแล้ว และเธอเพิ่งจะมีเวลาเอามามันมาจัดการให้ลูกเมื่อไม่กี่วันมานี้  นี่ก็ด่วนสุดๆแล้วนะ...เจ้าของร้านบอกเธออย่างนั้น  ก็จะทำยังไงได้ ในเมื่อทำเองไม่เป็น ก็ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ อย่าให้ต้องปักเสื้อเป็นอีกอย่างหนึ่งเลย เท่านี้ก็เกือบจะคิดว่าตัวเองเป็นมีดแมกไกวเวอร์อยู่รอมร่อแล้ว

รับเสื้อนักเรียนเสร็จก็รีบสับขาประหนึ่งแข่งเดินเ็ร็วไปยังร้านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ "จริง" ที่เธอไม่เคยเชื่อว่ามันจะ "จริง" ต้องมีตุกติกอะไรบนใบแจ้งหนี้บ้างแหละ เพียงแต่เเธอจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน  จ่ายหนี้ค่าปัจจัยที่ห้าเรียบร้อย เธอก็รีบใส่เกียร์สูงสุด ทำความเร็วไปที่รถ เพื่อกลับบ้านไปดูแลลูกน้อยหอยสังข์ที่ได้เวลาเลิกเรียนกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว ก็มันปาไปเกือบห้าโมงเย็นแล้วนี่เนาะ.....เธอคิด นักเรียนอนุบาลหนึ่งป้ายแดงจะเป็นไงบ้างน้อ

จอดหน้าบ้านปุ๊บ กระโดดลงจากรถเปิดประตูบ้านปั๊บ กำลังจะเอารถเข้าบ้าน พลางตะโกนถามหาลูกน้อย หวังจะเห็นใบหน้าอ้วนกลม ผูกผมแกละวิ่งเข้ามาจีบปากจีบคอรายงานสถานการณ์ แต่.....ยังกลับมาไม่ถึงบ้านเลย....ยายของลูกน้อยกลายเป็นคนรายงานสถานการณ์แทน...ยายเองก็ร้อนใจ แต่ไม่รู้จะติดต่อหาเธอได้อย่างไร เพราะโทรศัพท์บ้านก็ดันมาเสีย  หัวใจเธอหล่นวูบ ร่วงลงมาอยู่ที่ปลายเท้า คิดอะไรไม่ออก วิ่งกลับไปที่รถ เข้าเกียร์ถอยหลัง เหยียบคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว ตะโกนเสียงดังลั่นอยู่ภายในรถ...."ลูกฉันอยู่ไหน!!!!" น้ำตาเอ่อล้นขอบตา ร่วงเผาะๆ หยดน้ำใสๆอุ่นๆคงจะเรียกสติเธอให้กลับคืนมาได้บ้าง เธอรีบกดโทรศัพท์มือถือหาเพื่อนบ้านที่มีลูกกลับรถโรงเรียนคันเดียวกัน

แต่เพื่อนบ้านไม่ได้ดูตระหนกตกใจแต่อย่างใด  กลับบอกฉันว่า....เขาคงอาจจะรอกลับพร้อมพี่ประถมมั้งคะ...แมร่งเอ๊ย เอาอะไรคิดแว๊!!!!!  (คำสบถนี้เธอพ่นอยู่ในใจ) ช่างเป็นเหตุผลที่ทำให้ใจเย็นขึ้นได้มาก...มันไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เด็กอนุบาลที่เลิกเรียนบ่ายสองสิบห้า แต่จะห้าโมงเย็นแล้วยังไม่ถึงบ้าน ทั้งๆที่บ้านอยู่ที่ห่างจากโรงเรียนไม่ถึงห้ากิโลเมตรโว้ย!!!!....พลันเธอก็คิดได้ เพื่อนบ้านคนนั้นมีเบอร์คนขับรถตู้ เธอสั่งเพื่อนบ้านผู้แสนจะใจเย็นและมีเหตุผลให้โทรเช็คด่วนทันที!!!!

แล้วไม่เกินสิบนาที....ลูกน้อยหอยสังข์ของเธอก็เดินทางถึงบ้าน...ครูให้เหตุผลว่า "ติดประชุมด่วนค่ะ ขอโทษด้วย"....ระเบิดนาปาล์มทำงานทันที ให้ผลทำลายล้างสูงมาก....แล้วทำไมไม่โทรบอกผู้ปกครองสักนิดล่ะคะ!!!!....ครูอึ้ง พูดได้คำเดียวคืิอ ขอโทษจริงๆค่ะ....ความคิดจะเอาลูกน้อยออกจากโรงเรียนนี้เข้ามาในสมองของเธอทันที....แต่ยังก่อน มันยังไม่สะใจ เธอหมายมั่น รอให้ถึงพรุ่งนี้ เธอจะขนระเบิดไปถล่มถึงโรงเรียนอีกลูก....เอาให้ราบเป็นหน้ากลอง ฐานมองไม่เห็นความสำคัญของความรู้สึกพ่อแม่เด็กนักเรียนที่ให้ความเชื่อมั่นเอาลูกมาฝากฝัง ทำไมเธอถึงได้ถูกปฏิบัติด้วยคำว่า "ยังไงก็ได้" อีกแล้ว หลังจากที่ชอกช้ำกับมันมาหลายครั้ง  ช่วยไม่ได้ที่ครั้งนี้จะเป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่เธอจะลุกขึ้นมาทวงสิทธิ์ และแสดงออกซึ่งสิทธิ์ของตัวเองที่คนอื่นควรจะให้ความเคารพ....see you tomorrow !!!!

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หนูจะไปต่อแถวรถไฟปู๊นๆ

เช้าวันที่สองกับการเริ่มชีวิตนักเรียนอนุบาล 1
เมื่อคืนเพิ่งบอกว่า "หนูไม่ไปโรงเรียน หนูจะอยู่บ้านคนเดียว" แต่เช้านี้อ้วนก็ยอมลุกจากที่นอนและไปอาบน้ำแต่โดยดี  เพราะเจอแม่สร้างเรื่องหลอกล่อจนตายใจว่า "ไปเอาชุดพละกับชุดนอนไงลูก ครูยังไม่ไ่ด้ให้หนูมาเลย"  เป็นแม่คนจำเป็นต้องมีคุณสมบัติในการสร้างเรื่องเก่งด้วยอีกข้อหนึ่ง แต่ย้อนคิดอีกทีนี่มันดีหรือไม่ดีหว่า...เป็นการโกหกอันชอบธรรมเสียนี่กระไร ฉันทำให้ลูกเรียนรู้ที่จะโกหกแทนที่จะยอมรับความเป็นจริงหรือเปล่า หรือจริงๆแล้วฉันควรบอกลูกไปตรงๆว่าเธอต้องไปโรงเรียน เพราะบลา บลา บลา....หรือว่าฉันคิดมากไปหรือน้อยไป  แต่ที่รู้ๆ ฉันไม่ได้หยุดการ "สร้างเรื่อง" เพียงแค่นั้น

"คุณแม่คะ ไปรอน้องข้างนอกนะคะ ให้น้องชินกับการอยู่กับเพื่อนกับครูนะคะ" ครูแหม่ม..ครูประจำชั้นที่มีชื่อเหมือนฉัน(แต่แก่กว่าฉัน...ย้ำ) เข้ามากระซิบ เพราะต้องการให้ลูกปรับตัวได้มากขึ้น เมื่อต้องจากอกพ่ออกแม่มาสู่สังคมใหม่ สังคมที่ลูกจะได้เจอคนอื่น  ฉันมองหน้าอ้วนที่นั่งแหมะบนตักฉัน ไม่ยอมไปเล่นกับเพื่อนคนอื่นตั้งแต่มาถึงด้วยความรู้สึก....โถ...ลูก...แต่ฉันก็ต้องยอมทำตามที่คุณครูบอก

จากประสบการณ์ที่ส่งลูกคนแรกเข้าอนุบาลและผ่านมันมาได้ ทำให้ฉัน "เข้มแข็ง" เมื่อต้องส่งต่อลูกคนนี้ให้กับคุณครู ไม่รีรอที่จะทำตามคำขอร้อง ไม่อ้อยอิ่งหอมแก้มลูกฟอดแล้วฟอดเล่าเหมือนอย่างที่เคยทำกับลูกคนแรก  ฉันอุ้มอ้วนส่งให้ครูแหม่มแล้วกระซิบว่า "เขาแรงเยอะมากเลยนะคะ" เพราะรู้ฤทธิ์ลูกตัวเองเวลาโกรธดีว่า "ฟาดงวงฟาดงา...แปร๊น!" ขนาดไหน ครูแหม่มยิ้มสู้  ทำให้ฉันรู้สึกว่าเป็นครูสอนนักเรียนอนุบาลต้องมีความอดทน...สุดๆ...อันเป็นคุณสมบัติอีกข้อหนึ่งนอกเหนือจากรักเด็ก  แล้วฉันก็บอกลูกว่า "เดี๋ยวแม่ไปตามพี่ออยมาหาหนูนะ"......พี่ออยคือเพื่อนแถวบ้านของอ้วน ซึ่งปีนี้อยู่ชั้นอนุบาล 3 และอยู่โรงเรียนเดียวกัน....อ้วนยอมไปหาครู แต่หันมามองแม่ด้วยสายตาหวาดหวั่นและไม่แน่ใจกับสิ่งที่แม่บอกเขา....ฉันเดินออกมา ส่งสายตาขอโทษลูก....แม่จำเป็น

ฉันรีบดิ่งตรงไปที่รถ ตัดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ คิดในใจ มันก็ต้องแบบนี้แหละ ร้องหาแม่แค่อาทิตย์เดียว เดี๋ยวเดียวก็ลืมเรา แล้วไปสนุกกับเพื่อนกับของเล่นกับกิจกรรม...แต่แค่อาทิตย์เดียวนี่แหละ มันยาวนานเหมือนเป็นปีในความรู้สึกของเรา  แต่ยังไงฉันก็ต้อง...ผ่านมันไปให้ได้ เพราะฉันเคยผ่านมันมาแล้ว และฉันก็ทำได้...

ฉันไปนั่งทำงานสองสามชิ้น ก่อนเดินทางไปประชุมงาน โดยไม่คิดถึงหน้าอ้วนอีกเลย  มาคิดอีกทีก็ตอนที่ได้เวลารถตู้รับส่งของโรงเรียนต้องมาส่งอ้วนที่บ้าน....หลังจากที่ฉันตัดสินใจหักดิบ ให้ลูกทดลองกลับรถโรงเรียนเลย ทั้งๆที่ตอนแรกตั้งใจจะไปรับส่งก่อน....เรื่องนี้ ฉันไม่ได้สร้างเรื่องโกหกลูก...แต่ไม่ได้บอกอะไรกับลูกเลย...ปล่อยให้ลูกไปเจอเอาดาบหน้า....กลัวเหลือเกิน กลัวว่าลูกจะโกรธ และไม่ไว้ใจ แต่...แม่จำเป็นลูก

ป.ล.
อ้วนลงจากรถโรงเรียน สะพายเป้ข้างหลัง หน้ายิ้ม มาเล่าให้ยายฟังเป็นฉากๆ พูดเร็วปรื๋อจนฟังไม่ทัน แต่จับใจความได้ว่า...อ้วนต่อแถวเป็นรถไฟปู๊นๆ ไปกินข้าวกับแกงจืดวุ้นเส้น มีไส้กรอก กินหมดด้วย แล้วนั่งรถโรงเรียนมาส่งบ้าน มีเพื่อนสองคน เป็นผู้ชายกับผู้หญิง ชื่อเพื่อนๆ มีเพื่อนตัวอ้วนๆปาของ มันนิสัยไม่ดี ครูดุเลย" 
เมื่อฉันเจอลูก แล้วถามว่า "ไปโรงเรียนสนุกมั้ยลูก" อ้วนพยักหน้าหงึกๆ "อือ! หนูไปต่อแถวรถไฟปู๊นๆ ไปกินข้าวกับแกงจืดวุ้นเส้น มีไส้กรอก กินหมดด้วย แล้วนั่งรถโรงเรียนมาส่งบ้าน มีเพื่อนสองคน เป็นผู้ชายกับผู้หญิง ชื่อเพื่อนๆ มีเพื่อนตัวอ้วนๆปาของ มันนิสัยไม่ดี ครูดุเลย หนูทาแป้งที่หน้าด้วย แล้วครูก็ให้ต่อแถวรถไฟ ไปขึ้นรถตู้....." ฉันนั่งฟังลูกเล่าเรื่องต่างๆที่ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนฉายหนังวนอย่างไม่นึกเบื่อเลยแม้สักนิด กลับอยากให้เขาเล่าให้ฟังไปเรื่อยๆ และเรื่อยไป