อังคารที่ 30 พฤศจิกายน 2553
ทั้งๆที่มีงานบทรอให้เขียนเพื่อส่งก่อนไปประชุมพรุ่งนี้เช้า แต่ฉันก็ยังอ้อยอิ่ง เรื่อยเปื่อย ไม่คิดจะเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อลงมือทำ จริงๆแล้วคิิด แต่อำนาจฝ่ายต่ำเป็นฝ่ายชนะทุกครั้ง ทำให้ฉันตัดสินใจลุยเดี่ยวมุ่งหน้าสู่ "ฮอกวอตส์" ทันที ด้วยข้ออ้างซ้ำซาก...ฉันต้องการแรงบันดาลใจ
"ต๊าย...hot นะยะ ช่วงนี้มีแต่คนต้องการตัวหล่อนทั่วบ้านทั่วเมือง โดยเฉพาะอาชีพเดียวกบฉันเนี่ย นังแรงบันดาลใจ"...สงสัยอยู่กับอารมณ์มนุษย์มากเกินไป ต่อมริษยาเลย sensitive
ฉันตีตั๋วหนัง (ใช้คำโบราณได้อีก) หนึ่งใบที่เก้าอี้ดำแหน่งเดิมเกือบทุกครั้งที่เข้าโรงหนัง...D1...เฉยๆนะไม่ใช่ D1 ประเภท1 สำหรับ "Harry Potter" กับเครื่องรางยมทูต ภาค1 หนังที่ฉันรอคอย อยากจะทำเก๋เป็นแฟนพันธุ์แท้ดูซะตั้งแต่ี่หนังเข้าโรงวันแรก แต่โอกาสไม่อำนวย ต้องไปช่วยราชการทำงานประกวดกะเทยโลกที่พัทยาซะก่อน...อืม...ชีวิตคนเรามักถูกบังคับให้เลือกเสมอ...การเอาใจช่วยพ่อมดหนุ่มน้อยปราบคนที่คุณก็รู้ว่าใคร กับการช่วยสร้างฝันให้กะเทยสากล...ฉันเลือกอย่างหลัง มิใช่เพราะมันดูยิ่งใหญ่แต่เป็นเพราะ...เงินค่าตัวค่า ^O^
หนังตัวอย่างล้วนแล้วแต่เป็น 3D จนนึกเอะใจ แล้วแฮรี่ พอตเตอร์ตูเป็น 3D ด้วยหรือเปล่าหว่า ความ
นอยเริ่มคืบคลานเข้ามาจนกลายเป็นครอบงำฉันโดยสมบูรณ์ เหลียวซ้ายแลขวามองหาแว่นตา 3D ในมือของชาวบ้าน ถ้าคนอื่นมีแสดงว่าฉันพลาดที่ลืมรับมา หรือไม่พนักงานโรงหนังนั่นแหละที่พลาด มันต้องแจกแว่นให้ก่อนเข้าโรงสิฟระ บร๊ะเจ้า!!!! แต่ทำไมฉันไม่มี!!! และเมื่อหนังแฮรี่ พอตเตอร์เริ่มฉาย ฉันก็ค้นพบว่า...ควรจะปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นน้องนอย หนังเขาก็ฉายในระบบปกติ แต่อีนี่...เยอะ!
คร่อก...ใช่ค่ะ ฉันหลับหลังจากฉาก prologue ไม่นาน (อุ๊ย แอบเก๋..จำมาจากพี่วศิน ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้กำกับหนังไปแล้ว ฉันเคยเป็นทีมเขียนบทหนังเรื่อง "คู่แรด" กับเขา เขาเรียกฉากเปิดเรื่องให้น่าสนใจว่า prologue...หนูจำไม่ผิดใช่มั้ยคะพี่???) หลับไปประมาณ 15 นาที เพราะ...เมื่อคืนนอนดึกค่ะ หนังไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้น
หนังดูได้เพลินๆ และเมื่อออกจากโรงหนัง ฉันเกิดการตั้งคำถามว่า "ทำไมฉันจำอะไรเกี่ยวกับหนังไม่ได้เลย???" ตรงกันข้ามกับภาคแรกที่น่าตื่นเต้นไปซะหมด ตั้งแต่ชานชาลาที่ อะไร 1/2 นะ 9 ใช่มั้ย (เริ่มรู้สึกมั้ยคะว่าฉันมีสมองปลาทอง...จำอะไรไม่เคยได้เลย) โรงเรียนฮอกวอตส์ โรงอาหารมหึมาที่อาหารเยอะเว่อร์ บันไดเข้าห้องที่สลับเองไปมา รูปในกรอบหรือในหนังสือพิมพ์ที่เคลื่อนไหวและมีชีวิต ฯลฯ
และฉันก็ได้คำตอบ ว่าเพราะในช่วงเวลานั้นทุกอย่างที่เห็นมันเป็นสิ่งใหม่ เป็นปรากฏการณ์ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เราเลยตื่นเต้นที่จะติดตาม อยากรู้อยากเห็น....เจ เค โรวลิ่งและผู้สร้างหนังทำให้เรากลายเป็นวัยรุ่นได้อีกครั้ง
แต่เมื่อหนังมันเดินทางมาจนถึงเกือบภาคสุดท้าย จนนักแสดงเด็กน้อยกลายเป็นวัยรุ่น ความตื่นเต้นมีน้อยลง เพราะเราไม่ได้ผจญภัยกับความแปลกใหม่อีกแล้ว มันกลายเป็นอารมณ์ที่ deep down ของวัยรุ่นที่กำลังดิ้นรนเอาชนะ "คนที่คุณก็รู้ว่าใคร" ให้ได้อย่างเด็ดขาด...สะท้อนการพยายามประกาศตัวตนของวัยรุ่น ที่มีผู้ใหญ่เป็นศัตรูตัวสำคัญ...โถ!!! ลูก แต่ป้าน่ะ Forever Young นะจ๊ะ เราอยู่ข้างเดียวกัน ^_^
สรุปว่า...มันไม่มีของเล่นให้ฉันรู้สึก ว้าว!!! อีกแล้ว เอ๊ะ เต้นท์ลวงตานี่นับว่าใหม่หรือเปล่านะ ที่ภายนอกดูเล็กและแคบ แต่ภายในช่างโอ่โถง มีห้องเล็กห้องน้อยแถมเล่น step อีกต่างหาก...อืม แต่มันก็ไม่น่าตื่นเต้นอยู่ดี ดูเขาไม่ได้อยากจะเน้นของเล่น เลยไม่ได้ขยี้อุปกรณ์ชนิดนี้ให้เรารู้สึกว้าว!!! เขาให้ตามดูภารกิจของตัวละครเฟ้ยยย!!!
ฉันกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี ดีที่ได้ออกจากบ้าน มาเจอหลายอย่างที่ไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง มีบางอย่างอาจจะเป็นมากกว่าที่เราคาดหวัง และอาจจะมีบางอย่างที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้คาดหวัง ซึ่งทุกอย่างคือประสบการณ์อารมณ์ที่เราคงไม่ได้สัมผัส ถ้าเรานั่งอยู่กับบ้านเฉยๆ
ฉันเริ่มต้นเขียนบทอย่างอารมณ์ดี ดีที่ได้ทำงาน ดีที่ได้สร้างเรื่องราวผ่านตัวละคร เพื่อบอกบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในหัวให้คนอื่นได้สัมผัสด้วยตาู และหวังอยู่ลึกๆว่า...อยากให้ทุกคนได้สัมผัสมันด้วยหัวใจกับสิ่งที่ผลิตจากแรงบันดาลใจ ที่ได้จากการขี่ไม้กวาดไปเยี่ยมโรงเรียนฮอกวอตส์ ^_^
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น