อาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม 2553
จั่วหัวเรื่องด้วยการยืมชื่อหนังสือแปลของสำนักพิมพ์กำมะหยี่ (ของเพื่อนรัก) ขออนุญาตนะจ๊ะ เพราะมันเหมาะกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้
หมายเหตุ : เพียงคำที่เรามิเคยเอื้อนเอ่ยต่อกัน...นวนิยายแปลจากภาษาฝรั่งเศส โดยอธิชา มัญชุนากร กาบูล็องต์ นวนิยายแนวโรแมนติกที่พูดถึงสัมพันธภาพที่ไม่ปกติระหว่างพ่อกับลูกสาวที่ฉันชอบมาก มุขของพ่อที่พยายามทำในสิ่งที่เรียกว่าขอแก้ตัวกับลูกสาว มันสนุกจนแทบวางไม่ลง
ฉันต้องไปร่วมงานแต่งงานของน้องชาย ไม่ใช่น้องชายแท้ๆ แต่เป็นลูกชายของน้าสาว เป็นน้องชายที่ฉันได้ใกล้ชิดตั้งแต่เขาอยู่ในท้องแม่ ยังจำได้วันที่น้าท้องแก่และมาอยู่ร่วมชายคาบ้านของยาย ซึ่งมีิหลายคนอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่ ฉันกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น เป็นวัยรุ่นที่กำลังมีอารมณ์ซับซ้อนซ่อนเปรี้ยวแต่ไม่กล้าเปิด เจอน้าสาวคนนี้บ่นเข้าให้ด้วยเรื่องอะไรจำไม่ได้ แล้วฉันเถียงกลับทันควัน โอ้โห...เกือบเอาชีวิตไม่รอด นี่แหละที่เขาว่าอย่าแหย่คนท้องแก่ จนน้าคลอดน้อง แล้วมาพักฟื้นกับยาย เราหลายคนช่วยกันเลี้ยง จนน้าแข็งแรงดีแล้วจึงอพยพกลับบ้านตัวเองไป เราได้พบปะกันอยู่เนืองๆ โดยมีบ้านยายเป็นศูนย์กลาง เห็นพัฒนาการและการเติบโตของน้องชายคนนี้มาเรื่อยๆ จนจบการศึกษาเป็นหนุ่มหล่อรูปร่างสูงใหญ่ เริ่มชีวิตผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว และขณะนี้ก็เริ่มเป็นพ่อคน...น้องฉันเลือกวันพ่อแห่งชาติเป็นวันแต่งงาน
ด้วยวัยเพียงยี่สิบสี่ปี หลายคนสงสัยถึงความพร้อมในการมีชีวิตคู่ โดยเฉพาะเมื่อกำลังจะมีสักขีพยานรัก แต่ฉันบอกกับพี่ชายของเขาที่โทรมาบอกข่าวเรื่องงานแต่งงานและเหตุผลไปว่า มันเป็นเรื่องที่ดี อย่าได้คิดว่าเป็นเรื่องอันน่าละอาย ฉันบอกใครต่อใครเสมอว่า เพียงแค่ถ้าใจพร้อมก็ลุยโลด!!!
และบรรทัดต่อจากนี้ไปคือสิ่งที่ฉันมิเคยได้เอื้อนเอ่ยกับใครในวันนั้น...
...เมื่อคนสองคนรักกันมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยเปลี่ยนใจ พักร้อน ขอเวลานอกไปคบหาคนอื่น และได้รับผิดชอบทำหน้าที่ของตัวเองด้วยการเรียนจนจบ มีงานทำ ให้พ่อแม่สบายใจแล้ว จะกลัวอะไรอีก ชีวิตต่อจากนี้เป็นเส้นทางที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง ยิ่งเป็นลูกผู้ชายยิ่งต้องยืดอกและเชิดหน้ารับผิดชอบ "ชีวิตใหม่" ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างสง่างาม และน้องทำถูกแล้วที่จัดงานแต่งงานบอกกล่าวผู้เกี่ยวข้องทุกคนให้ได้รับรู้ ทำทุกอย่างตามประเพณี เพื่อรักษาเกียรติของผู้หญิงที่ตัวเองรัก...ถึงไม่ใช่งานแต่งที่ใหญ่โตอะไร ถึงไม่ใช่งานแต่งที่สวยงาม และมีองค์ประกอบเลิศหรูสมบูรณ์แบบอย่างที่ทุกคนย่อมใฝ่ฝันถึง...แต่มันก็เป็นงานของเรา ที่มีเราเดินเคียงคู่กันตลอดเวลา
ฉันก็สังเกตเห็นแววตาของความหวาดหวั่นในดวงตาคู่สวยของเจ้าสาวขณะที่เดินไปทักทายแขกตามโต๊ะ เป็นธรรมดาที่ต้องเกิดความรู้สึกแบบนี้ เพราะต่อไปนี้คือบทบาทของการเป็นเมีย แม่และสะใภ้ที่ต้องรับผิดชอบ ฉันเห็นน้องชายจับมือเจ้าสาวเอาไว้ เขาอาจจะกำลังบอกเจ้าสาวให้รู้สึกมั่นใจ และปลอดภัยโดยที่ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่ฉันรู้สึกได้ว่าเขาสองคนกำลังพูดกันผ่านสัมผัสนั้น
อยากให้น้องทั้งสองคนมองงานแต่งงานที่ความหมายไม่ใช่รูปแบบของพิธีการ ความหมายของการมีคนสองคนเดินเคียงคู่กัน ความหมายของการที่คนสองคนจับมือพากันเดินไป ความหมายของคนสองคนที่ช่วยกันเตรียมการทุกอย่างเพื่อให้มีวันที่สำคัญวันนี้ มันคือมหัศจรรย์แห่งรัก แต่ในความรักต้องมีความเข้าใจเป็นพื้นฐาน ไม่เคยเห็นชีวิตคู่ของใครที่ไปรอดถ้าปราศจากความเข้าใจ
แต่ทั้งคู่จะไม่มีวันเข้าใจจนกว่าจะได้ใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกันจริงๆ ถึงเวลานั้นบททดสอบประดามีจะดาหน้ากันเข้ามาท้าทายเหมือนเราไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยกับมัน ถ้ารากฐานแข็งแรงพอ คำว่าถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรก็จะเป็นจริงสมคำอวยพร ฉันภาวนาขอให้ทั้งคู่เข้าใจ....
ฉันกลับมาบ้านด้วยอารมณ์ที่หลากความรู้สึก ดีใจที่ครอบครัวใหญ่ของเราได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ สะเทือนใจที่เห็นการยังไม่เปิดใจยอมรับความน่ายินดีของบางคน และเศร้าใจกับตัวเอง...ฉันได้เห็นว่าที่พ่อที่กำลังตื่นเต้นกับการทำหน้าที่ ทำให้ฉันคิดถึงพ่อ...ถึงตอนนี้ไม่ได้ทำหน้าที่พ่อ แต่ยังไงก็ยังเป็นพ่อ...ฉันโทรหาพ่อของฉันในวันต่อมา
ความจริงฉันควรจะโทรหาพ่อเมื่อวาน แต่มันมักเป็นเช่นนี้เสมอ ฉันชอบดีเลย์ ไม่ค่อยอยากตามกระแส แต่ความจริงก็คือกำลังคิดสคริปท์ที่จะสนทนากับพ่อให้เป็นปกติต่างหาก
"ฮัลโหล...พ่อ แหม่มเอง"
"ใครนะ..."
"แหม่ม"
"น้ำ??? สวัสดีครับ"
จะเสียงหล่อทำไมเนี่ย กลัวพ่อจะคิดว่ามีผู้หญิงโทรมาจีบฉันเลยรีบชี้แจงไปทันทีว่าฉันคือแหม่ม ลูกสาวพ่อต่างหาก พ่ออึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะรีบพูดถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับฉัน เราสนทนากันเรื่องทั่วๆไป...พ่อทำอะไร...ก๊งอยู่...พ่อจะมาหาหมอที่กรุงเทพกลางเดือนใช่มั้ย...ใช่ๆ ลูกมาหาพ่อสิ มานะ...จะไปหานะ จะพาพ่อไปกินข้าว...อย่าลืมบอกน้องด้วยนะให้มาหาพ่อ...ได้ๆ จะบอก น้องกำลังยุ่งเรื่องลูกสาว กำลังจะขวบแล้วนะ...ส่วนไอ้ตัวเล็กของแหม่มจะเข้าอนุบาลปีหน้า.....
พ่อแสดงการรับรู้ด้วยคำว่า...อืม...อืม...ไม่มีคำพูดอะไรมากกว่านี้...แต่ฉันก็เข้าใจ พ่อเลือกที่จะรับรู้เรื่องบางเรื่องและปิดใจกับเรื่องบางเรื่องที่มันทำให้พ่อเสียใจ...แต่ฉันก็เข้าใจ ถึงแม้จะแอบน้อยใจในบางครั้ง และตั้งใจว่าจะพาพ่อไปกินข้าวให้ได้ เราจบการสนทนาด้วยการตัดบทของพ่อ ฉันมองโทรศัพท์อยู่ชั่วครู่ก่อนจะกดปุ่มเลิกสนทนา พลางคิดว่า นี่คือรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพ่อที่ต้องดำเนินไปจนกว่าจะตายจากกัน ความสัมพันธ์ที่มีช่องว่างให้เติมคำ แต่ไม่ต้องส่งคำตอบให้คุณครู ไม่มีวันกลับมาสมบูรณ์ แต่ฉันก็ยอมรับมัน
ถึงตอนนี้ก็ยังอธิบายมาเป็นคำพูดไม่ถูกว่าความคิดของตัวเองที่อยู่ในหัวมันคืออะไร บอกได้แค่ลักษณะที่อึนๆ นัวๆ แปลกๆ ไม่ได้อยากร้องไห้ แต่ก็ยิ้มไม่ออก สิ่งที่เขียนในครั้งนี้เลยมีอาการเหมือนกัน
ในนวนิยายเรื่องนั้น พ่อพยายามจะแก้ตัวกับลูก แต่ในชีวิตจริงลูกอย่างฉันพยายามจะแก้ตัวกับพ่อ...ฉันไม่รู้ว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน แต่ฉันกำลังทำ
ป.ล สิ่งที่มิเคยเอื้อนเอ่ยกับน้องอีกอย่างหนึ่งก็คือ...ซองของพี่อาจจะฟีบไปสักเล็กน้อย เพราะภาวะเศรษฐกิจ แต่รอตอนรับขวัญหลานแล้วกันนะ รับรอง...จัดเต็ม!!! ^_^
1 ความคิดเห็น:
อ่านแล้วอึ้ง นึกถึงตัวเองทันที พี่ไกด์กับพ่อ ก็คล้ายแหม่มกับพ่อมากกกกกเลยค่ะ ชอบงานเขียนของแหม่มจริงๆ เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งค่ะ
แสดงความคิดเห็น