วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันที่ถูกปลดปล่อย

พฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม 2553
เป็นวันที่พ่อมาหาหมอที่โรงพยาบาลรามาธิบดีเพื่อตรวจประจำปี ฉันไปตามนัดเพื่อจะเจอพ่อจนได้ ไม่ไปได้ยังไง พี่สาวโทรตามยิกๆ  ฉันขับรถพลางตื่นเต้น คิดถึงช็อตที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะต้องพูดขอโทษพ่อเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจ...ฉันจะกล้าพูด จะกล้าทำอย่างที่ตั้งใจมั้ยหนอ ????

พ่อยืนรออยู่ที่หน้าโรงพยาบาลกับพี่สาว ฉันไม่ได้เจอพ่อมานานหลายปี จำไม่ได้แล้วว่าครั้งหลังสุดที่เจอนั้นเมื่อไหร่กันแน่ แต่พ่อยังดูกระฉับกระเฉงในวัย 68 ปี ร่าเริงและคุยสนุก ปล่อยมุขให้ขำได้เป็นระยะ แต่ใครจะรู้ถึงความในใจ
"หมอบอกเป็นไงบ้าง" ฉันเิ่ริ่มยิงคำถามเมื่อพ่อขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว
"ทุกอย่างลดหมดเลย ทั้งคอเลสเตอรอลและไขมันในเส้นเลือด เพราะพ่อคุมอาหาร" พ่อพูดยิ้มๆ "แต่ไอ้ที่ยังไม่หาย คือ ตับอักเสบ หมอดุใหญ่พอพ่อบอกว่ายังกินเหล้า" พ่อคุยต่อ
"แล้วทำไงอ่ะ" ฉันถามด้วยความห่วงใย
"พ่อตั้งใจว่าจะเลิกกินเหล้าแล้ว...กินเบียร์แทน" พ่อพูดหน้าตาเฉย ^_^"

เราพาพ่อไปกินข้าวกลางวันแถวๆนั้น ฉันสั่งอาหารอย่างคนที่รู้ใจ  ไม่ได้รู้ใจพ่อนะ แต่รู้ใจคนกินเบียร์กินเหล้า ถ้าสั่งเบียร์มาแล้ว อย่าได้สั่งข้าวให้เด็ดขาด แต่ขอเป็นลาบเป็ดสักจาน และไม่ต้องถามถึงของหวานหลังอาหาร เพราะมันจะตีกัน  กินไปคุยเรื่องสัพเพเหระไป ที่น่าตื่นเต้นคือพ่อถามถึงลูกสาวทั้งสองคน ฉันเล่าคาแร็คเตอร์ที่แตกต่างเป็นขั้วบวกและลบของหลานให้พ่อฟัง...พ่ออมยิ้ม

อีกอย่างที่ฉันสังเกตเห็น  พี่สาวฉันดูรักและเคารพพ่อมาก ไม่เคยเลยที่ฉันจะได้ยินพี่สาวพูดถึงพ่อในทางลบ มีแต่ฉันเสียอีกที่ฟูมฟายและกล่าวโทษพ่อต่างๆนานาในวันที่รู้ว่าพ่อกับแม่กำลังจะแยกทางกัน และพ่อไปมีครอบครัวใหม่  จนเมื่อฉันเติบโตขึ้นและมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ถึงได้เข้าใจเงื่อนไขชีวิต มีเหตุผลมากมายที่ทำให้คนสองคนประคองชีวิตคู่ไว้ต่อไปไม่ไหว ไม่มีใครเป็นคนผิดเลย และการที่พ่อเข้ามาดูแลพวกเราไม่ได้เต็มที่ มันก็มีเหตุผลอีกนั่นแหละ...ฉันเข้าใจแต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เสียใจ

โปรแกรมต่อไปของพ่อที่สำคัญและจะต้องทำให้ได้ก่อนขึ้นรถทัวร์กลับบ้านในเย็นวันเดียวกันนี้คือ พ่อจะเอาสร้อยไปชุบทอง  และต้องไปที่สะพานใหม่ด้วยนะ มันเป็นสถานที่ที่พ่อเคยชิน ฉันรีบป้อนข้อมูลใหม่ให้พ่อทันที...
"โอ๊ย จะถ่อไปทำไมถึงสะพานใหม่ สะพานควายก็มี"  แล้วฉันก็กลายเป็นไกด์พ่วงตำแหน่งนายทุนพาพ่อไปหาร้านชุบทอง

ร้านชุบทองร้านนี้ช่างวางแผงรับลูกค้าได้องอาจมาก...อยู่หน้าร้านขายทองแท้ๆเลยทีเดียว  พ่อบอกฉันว่าคนอย่างเราไม่มีปัญญาซื้อทองแบบร้านข้างหลังมาใส่ ก็ขออร่ามด้วยการเล่นแร่แปรธาตุ โดยแบตเตอรี่ ลวดทองแดง และน้ำฯลฯ ที่ฉันไม่รู้จัก เห็นแต่เป็นสีเขียว ชมพู และน้ำเปล่า  แค่หนึ่งชั่วโมงจากสร้อยสเตนเลสราคาถูกกลายเป็นสร้อยทองดูมีราคาขึ้นมาทันที  แต่ฉันก็แอบเตือนพ่อ หากถูกโจรกระชากสร้อย มันจะย้อนกลับมาตีหัวฐานทำให้มันเสียเวลากับสร้อยปลอม พ่อยักไหล่ แสดงอาการไม่แคร์ื่สื่อ คล้ายบอกฉันว่า ถ้าคิดจะมีความสุขอย่าได้กลัวโจรตีหัว

เราพาพ่อมาซื้อตั๋วรถทัวร์ที่สถานีขนส่งสายใต้แห่งใหม่  รู้เวลาเดินทางแน่นอนว่า 18.30 น. พ่อขอเดินไปเช็คชานชาลารถ ฉันเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก เพิ่งเห็นความเข้มงวดของระบบรักษาความปลอดภัย ไมปล่อยให้คนที่ไม่ใช่ผู้โดยสารไปเดินเล่นที่ชานชาลาเด็ดขาด หรือหากจะเข้าไปต้องแลกบัตร และที่จุดแลกบัตรนี่เอง...พนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าตา Bad Boy สเป็คสาวแซ่บอย่างเรานั่งทำหน้าที่คอยแลกบัตรอยู่...ซวยไปนะน้องที่ถูกพี่แทะโลมด้วยความคิดในใจ  ^O^

พ่อเช็คชานชาลาเสร็จเรียบร้อยแต่ยังเหลืออีกกว่าชั่วโมงถึงจะได้เวลาเดินทาง พ่อไล่ให้ฉันพาพี่สาวไปส่งบ้านเพราะไม่อยากให้แกร่วรอนาน เมื่อถึงเวลาร่ำลา ไฮไลท์มันอยู่ตรงนี้....
พี่สาวเข้าไปไหว้พ่อ และกำชับให้พ่อดูแลสุขภาพ ฉันที่รอคิวอยู่รีบรวบรวมความกล้าและขับไล่ความเขินเข้าไปไหว้พ่ออย่างตั้งใจที่สุดในชีวิต แล้วก็พูดในสิ่งที่อยากจะพูด
"พ่อ ยังโกรธหนูมั้ย"
"ไม่โกรธแล้ว" พ่อพูดเสียงเบาและไม่ยอมสบตาฉัน ฉันไม่ยอมแพ้ แค่นี้ยังไม่พอ ฉันส่งพลังทั้งหมดผ่านสายตาจับจ้องพ่ออีกครั้ง
"พ่อ หนูขอโทษนะ"
"ไม่โกรธแล้ว" พ่อหันมาสบตาฉันเพียงแวบเดียวแล้วยิ้มน้อยๆ แค่นี้ฉันก็ขนลุกซู่ น้ำตาพาลจะรื้นขึ้นมาให้ได้ ต้องรีบข่มมันเอาไว้ แล้วขอให้พ่อให้ศีลให้พรฉันเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พะลังงงงง ^_^
เราขึ้นรถได้ พ่อยังคงยืนส่ง และมองจนรถของพวกเราลับสายตา พ่อก็หันหลังกลับไปยังเส้นทางที่พ่อต้องเดินทางไปต่อ...บ้านของพ่อ

"อยู่ดีๆก็ซึ้ง" ฉันเปรยขึ้นมาในรถหลังจากที่เห็นพี่สาวนั่งเงียบ
"แกหายโกรธตั้งนานแล้ว" พี่สาวอธิบาย
"แต่เราก็ไม่เคยขอโทษแกเป็นเรื่องเป็นราว..." พูดได้แค่นี้ ฉันก็เงียบไป และรีบเปลี่ยนเรื่องสนทนาทันที น้องพนักงานรักษาความปลอดภัย Bad Boy คนนั้นกลายเป็นประเด็นให้สาวแก่ได้กิ๊กกิ้วกันสนุกปากแทนเรื่องของพ่อ....ซวยไปนะน้อง ตอนนี้ไม่ใช่การแทะโลมด้วยความคิดแล้วล่ะ แต่มันลามมาเป็นการแทะโลมด้วยคำพูดซะแล้ว ^_^

นี่แหละครอบครัวฉัน ปกปิด เก็บงำความรู้สึก และไม่เคยปล่อยให้ตัวเองดราม่านาน แต่เป็นอันรู้กันว่าตอนนี้...ฉันรู้สึกเป็นอิสระ เหมือนถูกปลดปล่อยจากพันธนาการแห่งความรู้สึกผิดที่ทำให้พ่อเสียใจด้วยเรื่องอันเกิดจากความดื้อและเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไปของฉัน เป็นความรู้สึกผิดที่รัดตรึงฉันไว้มานานกว่า 15 ปี

ป.ล. ฉันกำชับคนที่บ้านว่า ห้ามบอกแม่เด็ดขาดเรื่องที่ไปเจอพ่อ เพราะไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ แต่...น้าแท้ๆที่อยู่บ้านใกล้กัน เดินมาที่บ้านฉันและบอกแม่ว่า...ฉันไปหาพ่อ...อ้าว อ้าว อ้าววววววว *O*

ไม่มีความคิดเห็น: