วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม 2553
เข้าข่ายอันตรายถ้านักเขียนไม่มีอะไรจะให้เขียนถึง เขียนได้สองคำกด delete เขียนไปต่ออีกสองประโยคกด delete ทุกอย่างหายไป ไร้ร่องรอยทิ้งไว้ หน้าจอขาวสะอาด ว่างเปล่า...แต่ชีวิตมันไม่ใช่พื้นที่ว่างบนหน้าจอ ไม่สามารถ delete ตัวอักษรที่จารจำลงไปแล้วได้ขาวสะอาด มันยังทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้เสมอ แต่ชีวิตมันส่งผลให้หน้าจอคอมพิวเตอร์ว่างเปล่าได้อย่างเหลือเชื่อ ถ้าร่องรอยของมันสั่นสะเทือนต่อมความคิด จนทำให้ติดขัดและ...ไม่รู้จะเขียนอะไร
งั้นก็เขียนถึงไอ้ความที่ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรนี่แหละ มันเกิดจาก
1. ความเซื่องซึมเข้าเกาะกิน ทั้งๆที่คอนเซ็ปท์ปีหน้าจะต้องร่าเริงท้าแดดลม แต่มันยังไม่สิ้นปี ไม่เป็นไร ปล่อยมันไปก่อน กินให้หนำใจ อยากกินอะไร หัวใจ สมอง ตับ ม้าม ไส้ติ่ง กินไปกินให้อิ่มนะเิมิง แต่พอขึ้นปีใหม่เมื่อไหร่ ฉันจะสลัด สลัด สลัด สะบัด สะบัด รู้จักป่ะเพลงของมอส ปฏิภาณ...ร้องได้แค่นี้แหละ ที่เหลือไปหาดูใน youtube
2. ความไม่มั่นใจ ความ self ลดลงไปกว่าครึ่ง หลังจากร่วมรายการ "จุดเปลี่ยน" รายการดีที่อยู่ในจอได้ไม่นาน เหมือนตัวเอง...พยายามทำทุกอย่างให้ออกมาดี แต่มันอยู่ได้ไม่นาน เพราะคนดูไม่เก็ทประเด็น เป็นอันปิดฉาก ลาจอ รอ create รายการใหม่ที่ต้องไฉไลกว่าเดิมและบันเทิงกว่าที่เคยเป็น ไม่งั้นเรทติ้งตกเป็นเหตุให้ลาจอได้ง่ายๆอีกครั้ง...แปลว่า หาผัวใหม่ที่ลงตัวดีกว่าเดิม...ฮา (มั้ย?) ล้อเล่น แปลว่า กำลังอยู่บนเส้นทางใหม่ อะไรๆก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง ความชัดเจนยังมองไม่เห็น ไปแบบสุ่มๆ แต่ในความไม่มั่นใจกลับมั่นใจมากๆว่า ยังไงก็ไม่หันหลังกลับ เพราะเลยยูเทิร์นมาไกล เสียเวลาย้อน ^^
คิดไม่ออกแล้ว บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไรจะเขียนจริงๆ
ป.ล. ก็เลยกลับไปเขียนบทละครที่กำลังรอให้เขียนให้เสร็จก่อนเปิดปีใหม่ ใครบอกว่าไม่มีอะไรจะให้เขียน สะตอจริง ^_-
วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553
มันจะเป็นอย่างไรไม่รู้เลย
จันทร์ี่ 27 ธันวาคม 2553
ห่างหายจากการเล่าเรื่องไปนานหลายวัน เพราะมัวแต่วุ่นวายจัดการทั้งกับเรื่องที่วางแผนเอาไว้ ดังนี้
1.วางแผนงานปีหน้าของทีมตรียูงทอง...อืม หนทางดูสดใส ถึงแม้ในปีนี้อะไรๆมันจะค่อนข้างทรงตัวถึงขั้นแย่ แต่เราสามคนยังคงรวมตัวกันอยู่ ไม่มีนกยูงตัวไหนแยกวง
2.จัดการแผนชีวิตลูกสาวทั้งคนโตและคนเล็กในทั้ง 3 มิติ คือ สุขภาพ การศึกษาและจิตใจ แปลว่า...ต่อประกันชีวิตลูก หาโรงเรียนสำหรับการเรียนต่อปีหน้าของทั้งสองคน พาไปปล่อยพลังตามที่ต่างๆ อืม ทุกอย่างผ่านไปได้อย่างเรียบร้อยบ้าง ทุลักทุเลบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในแผน
3.ตามทวงหนี้ แต่ไม่เคยได้สักกะบาท..แถมบางคนพูดให้รู้สึกคับแค้นใจ เหมือนเป็นขอทานไปขอเงินเขา ทั้งๆที่เป็นเงินอันเกิดจากการทำงานที่เราควรจะได้...อืม มนุษย์หนอ ยามจะขอช่างปากหวาน สัญญาได้ทุกอย่างขอเพียงได้งาน ทำเอาเราซมซาน นอนกบดานอยู่บ้านเพื่อเลียน้ำตาและแผลใจ T_T
แต่ก็มีเรื่องที่ไม่ได้คาดหวังให้มันเกิดมันก็เกิด ชนิดสายฟ้าแลบยังเร็วไม่เท่า
- ตอนรักกัันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล...แต่ช่างมีเหตุผลมากมายเหลือเกินเมื่อจะเลิก มากเสียจนมึน พยายามไม่มึน ก็มึน เพราะมันคงเก็บสะสมมานานมากเสียจนทำให้การมีชีวิตอยู่มันขาดความชัดเจนว่าอยู่ไปเพราะรัก หรือพยายามจะรักเพื่อประคองไม่ให้เลิกรา แต่เมื่อฟางเส้นสุดท้ายมันปลิวลงมาตกบนบ่าที่เคยแบกรับทุกอย่างเอาไว้ บอกได้เพียงว่า สุดท้าย สุดท้ายจริงๆ
เรื่องไม่คาดฝันเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันจัดการยากจริงๆ ยากที่สุดคือใจที่กลัวความเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงจากความเคยชินไปสู่สิ่งใหม่ๆ
1.บ้าน : จากเคยอยู่เพียงลำพัง กลับไปอยู่กับครอบครัวใหญ่ ญาติพี่น้องมากมาย ไม่ให้อยู่ก็จะอยู่ เพราะเรามีเขาเป็นที่พึ่งเพียงที่เดียว แต่โชคดีที่เขายังรักและปรารถนาดีต่อเราเสมอ
2.วงจรชีวิตวันธรรมดา ต้องตื่นตีห้าเพื่อขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนและรอรับกลับจนกว่าจะปิดเทอม ระยะทางจากบางบัวทอง - รามอินทรากิโลเมตรที่ 2 และระหว่างรอลูกก็ไปจัดกาีรงานของตัวเองให้เสร็จสรรพ เอ่อ...จะต่อเวลาไปปาร์ตี้ตอนกลางคืนคงไม่ได้อีกแล้วสินะ
3.เศรษฐกิจ ไม่มีการตกลงเรื่องเงินเรื่องทองใดๆ และคงไม่กล้าคาดหวังว่าใครจะมาช่วยรับผิดชอบ อืม...คงต้องหน้าด้านทวงหนี้ต่อไป
4.ความรู้สึกของลูกทั้งสองคนจะเป็นอย่างไรนับจากนี้...คงต้องหาคำอธิบายให้ลูกเข้าใจที่เป็น realistic และไม่ให้เสียใจ หรือจะเสียใจก็ต้องเป็นความเสียใจที่ต้องยอมรับได้..ว้า...ยากจัง ขนาดเป็นคนเขียนบทแท้ๆ ยังคิดไม่ค่อยออก
5.ถ้ารถเสียหรือเป็นอะไรขึ้นมา ทำไงดีอ่ะ ทำเป็นแต่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องกับล้างรถ...อืม...ไม่เป็นไร โทรหาเพื่อนสิ เพื่อนมีไว้ทำไม คงมีหลายคนที่รู้เรื่อง
แต่ในความหวั่นใจ ฉันรู้สึกว่ายังมีมุมเล็กๆที่ทำให้ฉันยิ้มได้และตื่นเต้นเมื่อคิดถึงมัน นั่นคือฉันรอให้ถึงวันหยุดเพื่อพาลูกเดินทางไปท่องเที่ยวได้อย่างอิสระ อย่างที่เคยอยากทำแต่ทำไม่ได้ อืม...งั้นต้องขยันหางานหาเงิน
ทุกอย่างที่เล่ามาทั้งหมดคือสิ่งที่รู้ว่าจะต้องเจอ แต่จะจบลงอย่างที่คิดหรือเปล่า...ไม่รู้เลยจริงๆ แต่ที่รู้ๆ ไม่อยากตื่นขึ้นมาในวัยหกสิบ แล้วยังนั่งมึนกับสิ่งเดิม ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีกว่าเดิม ชีวิตไม่ใช่การยอมจำนน แต่มันควรจะขับเคลื่อนไปไม่ใช่หรือ จะขึ้นสวรรค์หรือลงเหวไม่มีใครรู้ และไม่ใช่สาระสำคัญ สำคัญที่การเรียนรู้ระหว่างทางที่ทำให้เราเจ็บ ผิดหวัง ดีใจ สมหวัง ได้รู้จักกับประสบการณ์อันหลากหลายที่ทำให้รู้สึกว่า...ฉันกำลังมีชีวิตอยู่ต่างหาก
ขอโบกมือลาให้กับส่วนหนึ่งของชีวิตที่ยอมจำนนให้กับ "ปลัก" และ"โคลนตม" ต่อไปนี้ฉันไม่ใช่ "ควาย" แต่ฉันจะทำตัวเป็น "คน" ที่ต้องการ "ใช้" ชีวิตไม่ใช่ "ปล่อย" ชีวิตให้จมหายไปกับกาลเวลา
ป.ล เจอกันอีกครั้งตอนอายุหกสิบ ฉันอาจจะกำลังเรียนเต้น Salsa อยู่ก็ได้นะ ^_^
ห่างหายจากการเล่าเรื่องไปนานหลายวัน เพราะมัวแต่วุ่นวายจัดการทั้งกับเรื่องที่วางแผนเอาไว้ ดังนี้
1.วางแผนงานปีหน้าของทีมตรียูงทอง...อืม หนทางดูสดใส ถึงแม้ในปีนี้อะไรๆมันจะค่อนข้างทรงตัวถึงขั้นแย่ แต่เราสามคนยังคงรวมตัวกันอยู่ ไม่มีนกยูงตัวไหนแยกวง
2.จัดการแผนชีวิตลูกสาวทั้งคนโตและคนเล็กในทั้ง 3 มิติ คือ สุขภาพ การศึกษาและจิตใจ แปลว่า...ต่อประกันชีวิตลูก หาโรงเรียนสำหรับการเรียนต่อปีหน้าของทั้งสองคน พาไปปล่อยพลังตามที่ต่างๆ อืม ทุกอย่างผ่านไปได้อย่างเรียบร้อยบ้าง ทุลักทุเลบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในแผน
3.ตามทวงหนี้ แต่ไม่เคยได้สักกะบาท..แถมบางคนพูดให้รู้สึกคับแค้นใจ เหมือนเป็นขอทานไปขอเงินเขา ทั้งๆที่เป็นเงินอันเกิดจากการทำงานที่เราควรจะได้...อืม มนุษย์หนอ ยามจะขอช่างปากหวาน สัญญาได้ทุกอย่างขอเพียงได้งาน ทำเอาเราซมซาน นอนกบดานอยู่บ้านเพื่อเลียน้ำตาและแผลใจ T_T
แต่ก็มีเรื่องที่ไม่ได้คาดหวังให้มันเกิดมันก็เกิด ชนิดสายฟ้าแลบยังเร็วไม่เท่า
- ตอนรักกัันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล...แต่ช่างมีเหตุผลมากมายเหลือเกินเมื่อจะเลิก มากเสียจนมึน พยายามไม่มึน ก็มึน เพราะมันคงเก็บสะสมมานานมากเสียจนทำให้การมีชีวิตอยู่มันขาดความชัดเจนว่าอยู่ไปเพราะรัก หรือพยายามจะรักเพื่อประคองไม่ให้เลิกรา แต่เมื่อฟางเส้นสุดท้ายมันปลิวลงมาตกบนบ่าที่เคยแบกรับทุกอย่างเอาไว้ บอกได้เพียงว่า สุดท้าย สุดท้ายจริงๆ
เรื่องไม่คาดฝันเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันจัดการยากจริงๆ ยากที่สุดคือใจที่กลัวความเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงจากความเคยชินไปสู่สิ่งใหม่ๆ
1.บ้าน : จากเคยอยู่เพียงลำพัง กลับไปอยู่กับครอบครัวใหญ่ ญาติพี่น้องมากมาย ไม่ให้อยู่ก็จะอยู่ เพราะเรามีเขาเป็นที่พึ่งเพียงที่เดียว แต่โชคดีที่เขายังรักและปรารถนาดีต่อเราเสมอ
2.วงจรชีวิตวันธรรมดา ต้องตื่นตีห้าเพื่อขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนและรอรับกลับจนกว่าจะปิดเทอม ระยะทางจากบางบัวทอง - รามอินทรากิโลเมตรที่ 2 และระหว่างรอลูกก็ไปจัดกาีรงานของตัวเองให้เสร็จสรรพ เอ่อ...จะต่อเวลาไปปาร์ตี้ตอนกลางคืนคงไม่ได้อีกแล้วสินะ
3.เศรษฐกิจ ไม่มีการตกลงเรื่องเงินเรื่องทองใดๆ และคงไม่กล้าคาดหวังว่าใครจะมาช่วยรับผิดชอบ อืม...คงต้องหน้าด้านทวงหนี้ต่อไป
4.ความรู้สึกของลูกทั้งสองคนจะเป็นอย่างไรนับจากนี้...คงต้องหาคำอธิบายให้ลูกเข้าใจที่เป็น realistic และไม่ให้เสียใจ หรือจะเสียใจก็ต้องเป็นความเสียใจที่ต้องยอมรับได้..ว้า...ยากจัง ขนาดเป็นคนเขียนบทแท้ๆ ยังคิดไม่ค่อยออก
5.ถ้ารถเสียหรือเป็นอะไรขึ้นมา ทำไงดีอ่ะ ทำเป็นแต่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องกับล้างรถ...อืม...ไม่เป็นไร โทรหาเพื่อนสิ เพื่อนมีไว้ทำไม คงมีหลายคนที่รู้เรื่อง
แต่ในความหวั่นใจ ฉันรู้สึกว่ายังมีมุมเล็กๆที่ทำให้ฉันยิ้มได้และตื่นเต้นเมื่อคิดถึงมัน นั่นคือฉันรอให้ถึงวันหยุดเพื่อพาลูกเดินทางไปท่องเที่ยวได้อย่างอิสระ อย่างที่เคยอยากทำแต่ทำไม่ได้ อืม...งั้นต้องขยันหางานหาเงิน
ทุกอย่างที่เล่ามาทั้งหมดคือสิ่งที่รู้ว่าจะต้องเจอ แต่จะจบลงอย่างที่คิดหรือเปล่า...ไม่รู้เลยจริงๆ แต่ที่รู้ๆ ไม่อยากตื่นขึ้นมาในวัยหกสิบ แล้วยังนั่งมึนกับสิ่งเดิม ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีกว่าเดิม ชีวิตไม่ใช่การยอมจำนน แต่มันควรจะขับเคลื่อนไปไม่ใช่หรือ จะขึ้นสวรรค์หรือลงเหวไม่มีใครรู้ และไม่ใช่สาระสำคัญ สำคัญที่การเรียนรู้ระหว่างทางที่ทำให้เราเจ็บ ผิดหวัง ดีใจ สมหวัง ได้รู้จักกับประสบการณ์อันหลากหลายที่ทำให้รู้สึกว่า...ฉันกำลังมีชีวิตอยู่ต่างหาก
ขอโบกมือลาให้กับส่วนหนึ่งของชีวิตที่ยอมจำนนให้กับ "ปลัก" และ"โคลนตม" ต่อไปนี้ฉันไม่ใช่ "ควาย" แต่ฉันจะทำตัวเป็น "คน" ที่ต้องการ "ใช้" ชีวิตไม่ใช่ "ปล่อย" ชีวิตให้จมหายไปกับกาลเวลา
ป.ล เจอกันอีกครั้งตอนอายุหกสิบ ฉันอาจจะกำลังเรียนเต้น Salsa อยู่ก็ได้นะ ^_^
วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553
เมนูจากหัวใจ
วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม 2553
เป็นอีกวันที่แม่ไม่อยู่ ทำให้ฉันต้องคอยดูแลเรื่องอาหารการกินของสมาชิกในครอบครัว จะว่าไปแล้วก็ดูแลเป็นปกติ แต่ช่วงนี้งานเข้าเบียดบังเวลาของ mode แม่บ้าน กลัวลูกผัวจะผ่ายผอมเลยต้องอ้อนแม่ให้มาอยู่ด้วยเพื่อช่วยชีวิต ยิ่งวันนี้เป็นวันดีที่อาและอาสะใภ้จะมาเยี่ยมหลานๆ เลยคิดทำเมนูที่ยังไม่เคยทำเลยในชีวิต นั่นคือ...นึ่งข้าวเหนียวกินเอง ^O^
ไม่ได้กินเปล่าๆ แต่กินกับปีกกลางไก่ชุบแป้งทอดและสันคอหมูทอดที่มีสูตรเฉพาะตัว เกิดจากการใส่มั่วๆทำกี่ครั้งก็ใช้ซอสหมักไม่เหมือนเดิม เพราะจะต้องทดลองใส่โน่นนิดนี่หน่อยเพิ่มเข้าไปทุกครั้ง ตมสไล์คนช่างคิด อุ๊ย...ผิดแล้ว คนขี้เบื่อต่างหาก นิสัยแบบนี้มันเข้าเส้นเป็นได้ในทุกสถานการณ์จริงๆ
แล้วความตื่นเต้นก็เริ่มบรรเลงเพลงโหมโรง ฉันพุ่งเ้ข้าไปที่ร้านขายข้าว ถามหาข้าวเหนียวจากคนขาย
"จะเอาข้าวใหม่หรือข้าวเก่าครับ" คนขายถามกลับ
เอาล่ะซี แล้วมันต่างกันยังไง เหมือนข้าวสารธรรมดาที่เคยรู้มามั้ย ไม่กล้าฟันธง ตัดสินใจถามดีกว่า เลยตีหน้าซื่อใสถามกลับไปอีกครั้ง คิดในใจอย่าดูถูกกรูนะเมิง ก็คนมันไม่เคย
"น้องคะ...มันต่างกันยังไงคะ คือ พี่จะหุงข้าวเหนียวกินเองค่ะ "
แล้วคนขายก็ยิ้มซื่อใสพอๆกับหน้าตาของฉันและอธิบายให้ฟังแบบไม่มีกั๊กและไม่มีอคติใดๆ
"ข้าวใหม่พอเอามาอุ่นอีกมันจะเละ ไม่เหมือนข้าวเก่า แล้วก็แช่น้ำแค่ประมาณ 2 ชั่วโมงก็หุงได้ ส่วนข้าวเก่าต้องแช่ข้ามคืน"
"เอาข้าวใหม่" ฉันตอบทันทีแบบไม่ลังเล เพราะไม่มีเวลา้ข้ามคืนแช่ข้าวเก่า เที่ยงนี้ก็ต้องกินแล้ว
ได้ข้าวเหนียวใหม่มา 2 กิโลกรัมราคา 65 บาท (ได้ลดราคา 1 บาท) ความตื่นเต้นเริ่มบรรเลงจังหวะเร็วขึ้น...แล้วกรูจะหุงด้วยอะไรหว่า???? หม้อข้าวที่มีอยู่ มันมีสรรพคุณหุงข้าวเหนียวได้ด้วย แต่...หุงยังไง ทิ้งคู่มือไปแล้ว เวรกรรม...อ้อ...นั่นไง หวดข้าวเหนียวและหม้อนึ่งมันวางขายอยู่ในร้านฝั่งตรงข้าม รีบสาวเท้าเข้าไปหาแล้วซื้อมาทันที ทั้งหวดขนาดไม่ใหญ่มากและหม้อนึ่งที่พอดีกัน บวกผ้าขาวบางอีกหนึ่งผืน เพราะจำได้ว่าเคยเห็นแม่ค้าส้มตำเอาผ้าขาวบางห่อข้าวเหนียวใส่กระติก บางทีฉันอาจต้องใช้) สนนราคาทั้งหมด 150 บาท(ได้ลด 5 บาท)
รีบยกหูโทรหาน้าชายที่ฝีมือการทำอาหารอีสานขั้นเทพ เป็นผลพลอยได้จากการมีเมียเป็นคนทางนั้นทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนใต้ แต่เดี๋ยวนี้แซ่บอีหลีไปแล้วทั้งภาษาพูดและฝีมือการทำอาหาร
"น้าเป็ด...แหม่มจะหุงข้าวเหนียว" ฉันยิงคำถามใส่ทันทีเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
"ล้างข้าวให้สะอาดแล้วแช่ไว้สองชั่วโมง เสร็จแล้วเอาขึ้นใส่หวด จากนั้นวางบนหม้อนึ่ง เอาฝาหม้อปิดหวดเอาไว้" น้าของฉันสอนเป็นข้อๆ สมองฉันรีบบันทึกขณะที่ขับรถเข้าบ้านโดยมีเสียงทะเลาะของลูกสาวทั้งสองคนดังเป็น ambience
"เปิดดูถ้าข้าวข้างยนสุกแล้ว ให้กลับเอาข้างใต้ขึ้นมา นึ่งต่อไปสักพัก จนสุกทั่วแล้วเอาขึ้นกระจายบนถาด จากนั้นเอาใส่กระติกเพื่อให้คงความร้อน จำได้มั้ย" น้าถามเมื่อเสร็จสิ้นการเล็คเชอร์
"จำได้ๆ ขอบคุณค่ะ" ฉันรีบวางหู แล้วมุ่งหน้ากลับบ้านด้วยความใจสั่นระคนใจเสีย ฉันกำลังจะนึ่งข้าวเหนียวกินเอง ฉันกำลังจะนึ่งข้าวเหนียวกินเอง......
ลงมือทำตามขั้นตอนที่ได้เล่าเรียนมาแบบ intensive course ขั้นที่1...ผ่าน ขั้นที่สอง...ผ่าน...ขั้นที่สามช่วงกลับข้าวเหนียว...ผ่าน...ขั้นที่ 4 รอให้สุกจนทั่ว...แล้วสุกยังหว่า...หยิบขึ้นชิม....อืม...โอเค...ขั้นที่ 5 ต้องแผ่กระจายบนถาด...แต่ฉันไม่มีถาด งั้นไม่ต้องแล้วกัน เอาผ้าขาวบางชุบน้ำให้ชุ่มแล้วห่อข้าวเหนียวไว้ จากนั้นก็เอาไปวางในหวดใหม่อีกที ^_^
ฉันนั่งมองลูกสาวคนโตเปิบข้าวเหนียวกินกับไก่อย่างเพลิดเพลิน อิ่มใจ และอิ่มแทนเพราะชีซัดข้าวเหนียวเยอะมาก จนกลัวลูกจะไหลตายตอนกลางคืน ส่วนคนเล็กกินได้เล็กน้อยเพราะไม่ค่อยสบาย สำหรับสามี กินไปแกะเพลงไปพูดไปว่า...อร่อยมาก
เมนูง่ายๆ แต่ใส่หัวใจลงไปในทุกขั้นตอนของการทำ รสชาิติอาจจะแปร่งเพี้ยน แต่คนกินก็กินอย่างมีความสุขและสัมผัสได้ว่า...แม่ทำจากหัวใจ ยังไงก็อร่อย ^_____________^
ป.ล. ตอนนี้ฉันล้างหวดและหม้อนึ่งอย่างสะอาด เก็บไว้อย่างดี รอเวลาเอามาใช้งานใหม่ เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์การทำอาหารที่ฉันภูิมิใจ...ฉันไม่น้อยหน้าคนขายสัมตำแล้วเว้ยยยย ^O^
เป็นอีกวันที่แม่ไม่อยู่ ทำให้ฉันต้องคอยดูแลเรื่องอาหารการกินของสมาชิกในครอบครัว จะว่าไปแล้วก็ดูแลเป็นปกติ แต่ช่วงนี้งานเข้าเบียดบังเวลาของ mode แม่บ้าน กลัวลูกผัวจะผ่ายผอมเลยต้องอ้อนแม่ให้มาอยู่ด้วยเพื่อช่วยชีวิต ยิ่งวันนี้เป็นวันดีที่อาและอาสะใภ้จะมาเยี่ยมหลานๆ เลยคิดทำเมนูที่ยังไม่เคยทำเลยในชีวิต นั่นคือ...นึ่งข้าวเหนียวกินเอง ^O^
ไม่ได้กินเปล่าๆ แต่กินกับปีกกลางไก่ชุบแป้งทอดและสันคอหมูทอดที่มีสูตรเฉพาะตัว เกิดจากการใส่มั่วๆทำกี่ครั้งก็ใช้ซอสหมักไม่เหมือนเดิม เพราะจะต้องทดลองใส่โน่นนิดนี่หน่อยเพิ่มเข้าไปทุกครั้ง ตมสไล์คนช่างคิด อุ๊ย...ผิดแล้ว คนขี้เบื่อต่างหาก นิสัยแบบนี้มันเข้าเส้นเป็นได้ในทุกสถานการณ์จริงๆ
แล้วความตื่นเต้นก็เริ่มบรรเลงเพลงโหมโรง ฉันพุ่งเ้ข้าไปที่ร้านขายข้าว ถามหาข้าวเหนียวจากคนขาย
"จะเอาข้าวใหม่หรือข้าวเก่าครับ" คนขายถามกลับ
เอาล่ะซี แล้วมันต่างกันยังไง เหมือนข้าวสารธรรมดาที่เคยรู้มามั้ย ไม่กล้าฟันธง ตัดสินใจถามดีกว่า เลยตีหน้าซื่อใสถามกลับไปอีกครั้ง คิดในใจอย่าดูถูกกรูนะเมิง ก็คนมันไม่เคย
"น้องคะ...มันต่างกันยังไงคะ คือ พี่จะหุงข้าวเหนียวกินเองค่ะ "
แล้วคนขายก็ยิ้มซื่อใสพอๆกับหน้าตาของฉันและอธิบายให้ฟังแบบไม่มีกั๊กและไม่มีอคติใดๆ
"ข้าวใหม่พอเอามาอุ่นอีกมันจะเละ ไม่เหมือนข้าวเก่า แล้วก็แช่น้ำแค่ประมาณ 2 ชั่วโมงก็หุงได้ ส่วนข้าวเก่าต้องแช่ข้ามคืน"
"เอาข้าวใหม่" ฉันตอบทันทีแบบไม่ลังเล เพราะไม่มีเวลา้ข้ามคืนแช่ข้าวเก่า เที่ยงนี้ก็ต้องกินแล้ว
ได้ข้าวเหนียวใหม่มา 2 กิโลกรัมราคา 65 บาท (ได้ลดราคา 1 บาท) ความตื่นเต้นเริ่มบรรเลงจังหวะเร็วขึ้น...แล้วกรูจะหุงด้วยอะไรหว่า???? หม้อข้าวที่มีอยู่ มันมีสรรพคุณหุงข้าวเหนียวได้ด้วย แต่...หุงยังไง ทิ้งคู่มือไปแล้ว เวรกรรม...อ้อ...นั่นไง หวดข้าวเหนียวและหม้อนึ่งมันวางขายอยู่ในร้านฝั่งตรงข้าม รีบสาวเท้าเข้าไปหาแล้วซื้อมาทันที ทั้งหวดขนาดไม่ใหญ่มากและหม้อนึ่งที่พอดีกัน บวกผ้าขาวบางอีกหนึ่งผืน เพราะจำได้ว่าเคยเห็นแม่ค้าส้มตำเอาผ้าขาวบางห่อข้าวเหนียวใส่กระติก บางทีฉันอาจต้องใช้) สนนราคาทั้งหมด 150 บาท(ได้ลด 5 บาท)
รีบยกหูโทรหาน้าชายที่ฝีมือการทำอาหารอีสานขั้นเทพ เป็นผลพลอยได้จากการมีเมียเป็นคนทางนั้นทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนใต้ แต่เดี๋ยวนี้แซ่บอีหลีไปแล้วทั้งภาษาพูดและฝีมือการทำอาหาร
"น้าเป็ด...แหม่มจะหุงข้าวเหนียว" ฉันยิงคำถามใส่ทันทีเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
"ล้างข้าวให้สะอาดแล้วแช่ไว้สองชั่วโมง เสร็จแล้วเอาขึ้นใส่หวด จากนั้นวางบนหม้อนึ่ง เอาฝาหม้อปิดหวดเอาไว้" น้าของฉันสอนเป็นข้อๆ สมองฉันรีบบันทึกขณะที่ขับรถเข้าบ้านโดยมีเสียงทะเลาะของลูกสาวทั้งสองคนดังเป็น ambience
"เปิดดูถ้าข้าวข้างยนสุกแล้ว ให้กลับเอาข้างใต้ขึ้นมา นึ่งต่อไปสักพัก จนสุกทั่วแล้วเอาขึ้นกระจายบนถาด จากนั้นเอาใส่กระติกเพื่อให้คงความร้อน จำได้มั้ย" น้าถามเมื่อเสร็จสิ้นการเล็คเชอร์
"จำได้ๆ ขอบคุณค่ะ" ฉันรีบวางหู แล้วมุ่งหน้ากลับบ้านด้วยความใจสั่นระคนใจเสีย ฉันกำลังจะนึ่งข้าวเหนียวกินเอง ฉันกำลังจะนึ่งข้าวเหนียวกินเอง......
ลงมือทำตามขั้นตอนที่ได้เล่าเรียนมาแบบ intensive course ขั้นที่1...ผ่าน ขั้นที่สอง...ผ่าน...ขั้นที่สามช่วงกลับข้าวเหนียว...ผ่าน...ขั้นที่ 4 รอให้สุกจนทั่ว...แล้วสุกยังหว่า...หยิบขึ้นชิม....อืม...โอเค...ขั้นที่ 5 ต้องแผ่กระจายบนถาด...แต่ฉันไม่มีถาด งั้นไม่ต้องแล้วกัน เอาผ้าขาวบางชุบน้ำให้ชุ่มแล้วห่อข้าวเหนียวไว้ จากนั้นก็เอาไปวางในหวดใหม่อีกที ^_^
ฉันนั่งมองลูกสาวคนโตเปิบข้าวเหนียวกินกับไก่อย่างเพลิดเพลิน อิ่มใจ และอิ่มแทนเพราะชีซัดข้าวเหนียวเยอะมาก จนกลัวลูกจะไหลตายตอนกลางคืน ส่วนคนเล็กกินได้เล็กน้อยเพราะไม่ค่อยสบาย สำหรับสามี กินไปแกะเพลงไปพูดไปว่า...อร่อยมาก
เมนูง่ายๆ แต่ใส่หัวใจลงไปในทุกขั้นตอนของการทำ รสชาิติอาจจะแปร่งเพี้ยน แต่คนกินก็กินอย่างมีความสุขและสัมผัสได้ว่า...แม่ทำจากหัวใจ ยังไงก็อร่อย ^_____________^
ป.ล. ตอนนี้ฉันล้างหวดและหม้อนึ่งอย่างสะอาด เก็บไว้อย่างดี รอเวลาเอามาใช้งานใหม่ เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์การทำอาหารที่ฉันภูิมิใจ...ฉันไม่น้อยหน้าคนขายสัมตำแล้วเว้ยยยย ^O^
วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันที่ถูกปลดปล่อย
พฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม 2553
เป็นวันที่พ่อมาหาหมอที่โรงพยาบาลรามาธิบดีเพื่อตรวจประจำปี ฉันไปตามนัดเพื่อจะเจอพ่อจนได้ ไม่ไปได้ยังไง พี่สาวโทรตามยิกๆ ฉันขับรถพลางตื่นเต้น คิดถึงช็อตที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะต้องพูดขอโทษพ่อเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจ...ฉันจะกล้าพูด จะกล้าทำอย่างที่ตั้งใจมั้ยหนอ ????
พ่อยืนรออยู่ที่หน้าโรงพยาบาลกับพี่สาว ฉันไม่ได้เจอพ่อมานานหลายปี จำไม่ได้แล้วว่าครั้งหลังสุดที่เจอนั้นเมื่อไหร่กันแน่ แต่พ่อยังดูกระฉับกระเฉงในวัย 68 ปี ร่าเริงและคุยสนุก ปล่อยมุขให้ขำได้เป็นระยะ แต่ใครจะรู้ถึงความในใจ
"หมอบอกเป็นไงบ้าง" ฉันเิ่ริ่มยิงคำถามเมื่อพ่อขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว
"ทุกอย่างลดหมดเลย ทั้งคอเลสเตอรอลและไขมันในเส้นเลือด เพราะพ่อคุมอาหาร" พ่อพูดยิ้มๆ "แต่ไอ้ที่ยังไม่หาย คือ ตับอักเสบ หมอดุใหญ่พอพ่อบอกว่ายังกินเหล้า" พ่อคุยต่อ
"แล้วทำไงอ่ะ" ฉันถามด้วยความห่วงใย
"พ่อตั้งใจว่าจะเลิกกินเหล้าแล้ว...กินเบียร์แทน" พ่อพูดหน้าตาเฉย ^_^"
เราพาพ่อไปกินข้าวกลางวันแถวๆนั้น ฉันสั่งอาหารอย่างคนที่รู้ใจ ไม่ได้รู้ใจพ่อนะ แต่รู้ใจคนกินเบียร์กินเหล้า ถ้าสั่งเบียร์มาแล้ว อย่าได้สั่งข้าวให้เด็ดขาด แต่ขอเป็นลาบเป็ดสักจาน และไม่ต้องถามถึงของหวานหลังอาหาร เพราะมันจะตีกัน กินไปคุยเรื่องสัพเพเหระไป ที่น่าตื่นเต้นคือพ่อถามถึงลูกสาวทั้งสองคน ฉันเล่าคาแร็คเตอร์ที่แตกต่างเป็นขั้วบวกและลบของหลานให้พ่อฟัง...พ่ออมยิ้ม
อีกอย่างที่ฉันสังเกตเห็น พี่สาวฉันดูรักและเคารพพ่อมาก ไม่เคยเลยที่ฉันจะได้ยินพี่สาวพูดถึงพ่อในทางลบ มีแต่ฉันเสียอีกที่ฟูมฟายและกล่าวโทษพ่อต่างๆนานาในวันที่รู้ว่าพ่อกับแม่กำลังจะแยกทางกัน และพ่อไปมีครอบครัวใหม่ จนเมื่อฉันเติบโตขึ้นและมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ถึงได้เข้าใจเงื่อนไขชีวิต มีเหตุผลมากมายที่ทำให้คนสองคนประคองชีวิตคู่ไว้ต่อไปไม่ไหว ไม่มีใครเป็นคนผิดเลย และการที่พ่อเข้ามาดูแลพวกเราไม่ได้เต็มที่ มันก็มีเหตุผลอีกนั่นแหละ...ฉันเข้าใจแต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เสียใจ
โปรแกรมต่อไปของพ่อที่สำคัญและจะต้องทำให้ได้ก่อนขึ้นรถทัวร์กลับบ้านในเย็นวันเดียวกันนี้คือ พ่อจะเอาสร้อยไปชุบทอง และต้องไปที่สะพานใหม่ด้วยนะ มันเป็นสถานที่ที่พ่อเคยชิน ฉันรีบป้อนข้อมูลใหม่ให้พ่อทันที...
"โอ๊ย จะถ่อไปทำไมถึงสะพานใหม่ สะพานควายก็มี" แล้วฉันก็กลายเป็นไกด์พ่วงตำแหน่งนายทุนพาพ่อไปหาร้านชุบทอง
ร้านชุบทองร้านนี้ช่างวางแผงรับลูกค้าได้องอาจมาก...อยู่หน้าร้านขายทองแท้ๆเลยทีเดียว พ่อบอกฉันว่าคนอย่างเราไม่มีปัญญาซื้อทองแบบร้านข้างหลังมาใส่ ก็ขออร่ามด้วยการเล่นแร่แปรธาตุ โดยแบตเตอรี่ ลวดทองแดง และน้ำฯลฯ ที่ฉันไม่รู้จัก เห็นแต่เป็นสีเขียว ชมพู และน้ำเปล่า แค่หนึ่งชั่วโมงจากสร้อยสเตนเลสราคาถูกกลายเป็นสร้อยทองดูมีราคาขึ้นมาทันที แต่ฉันก็แอบเตือนพ่อ หากถูกโจรกระชากสร้อย มันจะย้อนกลับมาตีหัวฐานทำให้มันเสียเวลากับสร้อยปลอม พ่อยักไหล่ แสดงอาการไม่แคร์ื่สื่อ คล้ายบอกฉันว่า ถ้าคิดจะมีความสุขอย่าได้กลัวโจรตีหัว
เราพาพ่อมาซื้อตั๋วรถทัวร์ที่สถานีขนส่งสายใต้แห่งใหม่ รู้เวลาเดินทางแน่นอนว่า 18.30 น. พ่อขอเดินไปเช็คชานชาลารถ ฉันเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก เพิ่งเห็นความเข้มงวดของระบบรักษาความปลอดภัย ไมปล่อยให้คนที่ไม่ใช่ผู้โดยสารไปเดินเล่นที่ชานชาลาเด็ดขาด หรือหากจะเข้าไปต้องแลกบัตร และที่จุดแลกบัตรนี่เอง...พนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าตา Bad Boy สเป็คสาวแซ่บอย่างเรานั่งทำหน้าที่คอยแลกบัตรอยู่...ซวยไปนะน้องที่ถูกพี่แทะโลมด้วยความคิดในใจ ^O^
พ่อเช็คชานชาลาเสร็จเรียบร้อยแต่ยังเหลืออีกกว่าชั่วโมงถึงจะได้เวลาเดินทาง พ่อไล่ให้ฉันพาพี่สาวไปส่งบ้านเพราะไม่อยากให้แกร่วรอนาน เมื่อถึงเวลาร่ำลา ไฮไลท์มันอยู่ตรงนี้....
พี่สาวเข้าไปไหว้พ่อ และกำชับให้พ่อดูแลสุขภาพ ฉันที่รอคิวอยู่รีบรวบรวมความกล้าและขับไล่ความเขินเข้าไปไหว้พ่ออย่างตั้งใจที่สุดในชีวิต แล้วก็พูดในสิ่งที่อยากจะพูด
"พ่อ ยังโกรธหนูมั้ย"
"ไม่โกรธแล้ว" พ่อพูดเสียงเบาและไม่ยอมสบตาฉัน ฉันไม่ยอมแพ้ แค่นี้ยังไม่พอ ฉันส่งพลังทั้งหมดผ่านสายตาจับจ้องพ่ออีกครั้ง
"พ่อ หนูขอโทษนะ"
"ไม่โกรธแล้ว" พ่อหันมาสบตาฉันเพียงแวบเดียวแล้วยิ้มน้อยๆ แค่นี้ฉันก็ขนลุกซู่ น้ำตาพาลจะรื้นขึ้นมาให้ได้ ต้องรีบข่มมันเอาไว้ แล้วขอให้พ่อให้ศีลให้พรฉันเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พะลังงงงง ^_^
เราขึ้นรถได้ พ่อยังคงยืนส่ง และมองจนรถของพวกเราลับสายตา พ่อก็หันหลังกลับไปยังเส้นทางที่พ่อต้องเดินทางไปต่อ...บ้านของพ่อ
"อยู่ดีๆก็ซึ้ง" ฉันเปรยขึ้นมาในรถหลังจากที่เห็นพี่สาวนั่งเงียบ
"แกหายโกรธตั้งนานแล้ว" พี่สาวอธิบาย
"แต่เราก็ไม่เคยขอโทษแกเป็นเรื่องเป็นราว..." พูดได้แค่นี้ ฉันก็เงียบไป และรีบเปลี่ยนเรื่องสนทนาทันที น้องพนักงานรักษาความปลอดภัย Bad Boy คนนั้นกลายเป็นประเด็นให้สาวแก่ได้กิ๊กกิ้วกันสนุกปากแทนเรื่องของพ่อ....ซวยไปนะน้อง ตอนนี้ไม่ใช่การแทะโลมด้วยความคิดแล้วล่ะ แต่มันลามมาเป็นการแทะโลมด้วยคำพูดซะแล้ว ^_^
นี่แหละครอบครัวฉัน ปกปิด เก็บงำความรู้สึก และไม่เคยปล่อยให้ตัวเองดราม่านาน แต่เป็นอันรู้กันว่าตอนนี้...ฉันรู้สึกเป็นอิสระ เหมือนถูกปลดปล่อยจากพันธนาการแห่งความรู้สึกผิดที่ทำให้พ่อเสียใจด้วยเรื่องอันเกิดจากความดื้อและเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไปของฉัน เป็นความรู้สึกผิดที่รัดตรึงฉันไว้มานานกว่า 15 ปี
ป.ล. ฉันกำชับคนที่บ้านว่า ห้ามบอกแม่เด็ดขาดเรื่องที่ไปเจอพ่อ เพราะไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ แต่...น้าแท้ๆที่อยู่บ้านใกล้กัน เดินมาที่บ้านฉันและบอกแม่ว่า...ฉันไปหาพ่อ...อ้าว อ้าว อ้าววววววว *O*
เป็นวันที่พ่อมาหาหมอที่โรงพยาบาลรามาธิบดีเพื่อตรวจประจำปี ฉันไปตามนัดเพื่อจะเจอพ่อจนได้ ไม่ไปได้ยังไง พี่สาวโทรตามยิกๆ ฉันขับรถพลางตื่นเต้น คิดถึงช็อตที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะต้องพูดขอโทษพ่อเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจ...ฉันจะกล้าพูด จะกล้าทำอย่างที่ตั้งใจมั้ยหนอ ????
พ่อยืนรออยู่ที่หน้าโรงพยาบาลกับพี่สาว ฉันไม่ได้เจอพ่อมานานหลายปี จำไม่ได้แล้วว่าครั้งหลังสุดที่เจอนั้นเมื่อไหร่กันแน่ แต่พ่อยังดูกระฉับกระเฉงในวัย 68 ปี ร่าเริงและคุยสนุก ปล่อยมุขให้ขำได้เป็นระยะ แต่ใครจะรู้ถึงความในใจ
"หมอบอกเป็นไงบ้าง" ฉันเิ่ริ่มยิงคำถามเมื่อพ่อขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว
"ทุกอย่างลดหมดเลย ทั้งคอเลสเตอรอลและไขมันในเส้นเลือด เพราะพ่อคุมอาหาร" พ่อพูดยิ้มๆ "แต่ไอ้ที่ยังไม่หาย คือ ตับอักเสบ หมอดุใหญ่พอพ่อบอกว่ายังกินเหล้า" พ่อคุยต่อ
"แล้วทำไงอ่ะ" ฉันถามด้วยความห่วงใย
"พ่อตั้งใจว่าจะเลิกกินเหล้าแล้ว...กินเบียร์แทน" พ่อพูดหน้าตาเฉย ^_^"
เราพาพ่อไปกินข้าวกลางวันแถวๆนั้น ฉันสั่งอาหารอย่างคนที่รู้ใจ ไม่ได้รู้ใจพ่อนะ แต่รู้ใจคนกินเบียร์กินเหล้า ถ้าสั่งเบียร์มาแล้ว อย่าได้สั่งข้าวให้เด็ดขาด แต่ขอเป็นลาบเป็ดสักจาน และไม่ต้องถามถึงของหวานหลังอาหาร เพราะมันจะตีกัน กินไปคุยเรื่องสัพเพเหระไป ที่น่าตื่นเต้นคือพ่อถามถึงลูกสาวทั้งสองคน ฉันเล่าคาแร็คเตอร์ที่แตกต่างเป็นขั้วบวกและลบของหลานให้พ่อฟัง...พ่ออมยิ้ม
อีกอย่างที่ฉันสังเกตเห็น พี่สาวฉันดูรักและเคารพพ่อมาก ไม่เคยเลยที่ฉันจะได้ยินพี่สาวพูดถึงพ่อในทางลบ มีแต่ฉันเสียอีกที่ฟูมฟายและกล่าวโทษพ่อต่างๆนานาในวันที่รู้ว่าพ่อกับแม่กำลังจะแยกทางกัน และพ่อไปมีครอบครัวใหม่ จนเมื่อฉันเติบโตขึ้นและมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ถึงได้เข้าใจเงื่อนไขชีวิต มีเหตุผลมากมายที่ทำให้คนสองคนประคองชีวิตคู่ไว้ต่อไปไม่ไหว ไม่มีใครเป็นคนผิดเลย และการที่พ่อเข้ามาดูแลพวกเราไม่ได้เต็มที่ มันก็มีเหตุผลอีกนั่นแหละ...ฉันเข้าใจแต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เสียใจ
โปรแกรมต่อไปของพ่อที่สำคัญและจะต้องทำให้ได้ก่อนขึ้นรถทัวร์กลับบ้านในเย็นวันเดียวกันนี้คือ พ่อจะเอาสร้อยไปชุบทอง และต้องไปที่สะพานใหม่ด้วยนะ มันเป็นสถานที่ที่พ่อเคยชิน ฉันรีบป้อนข้อมูลใหม่ให้พ่อทันที...
"โอ๊ย จะถ่อไปทำไมถึงสะพานใหม่ สะพานควายก็มี" แล้วฉันก็กลายเป็นไกด์พ่วงตำแหน่งนายทุนพาพ่อไปหาร้านชุบทอง
ร้านชุบทองร้านนี้ช่างวางแผงรับลูกค้าได้องอาจมาก...อยู่หน้าร้านขายทองแท้ๆเลยทีเดียว พ่อบอกฉันว่าคนอย่างเราไม่มีปัญญาซื้อทองแบบร้านข้างหลังมาใส่ ก็ขออร่ามด้วยการเล่นแร่แปรธาตุ โดยแบตเตอรี่ ลวดทองแดง และน้ำฯลฯ ที่ฉันไม่รู้จัก เห็นแต่เป็นสีเขียว ชมพู และน้ำเปล่า แค่หนึ่งชั่วโมงจากสร้อยสเตนเลสราคาถูกกลายเป็นสร้อยทองดูมีราคาขึ้นมาทันที แต่ฉันก็แอบเตือนพ่อ หากถูกโจรกระชากสร้อย มันจะย้อนกลับมาตีหัวฐานทำให้มันเสียเวลากับสร้อยปลอม พ่อยักไหล่ แสดงอาการไม่แคร์ื่สื่อ คล้ายบอกฉันว่า ถ้าคิดจะมีความสุขอย่าได้กลัวโจรตีหัว
เราพาพ่อมาซื้อตั๋วรถทัวร์ที่สถานีขนส่งสายใต้แห่งใหม่ รู้เวลาเดินทางแน่นอนว่า 18.30 น. พ่อขอเดินไปเช็คชานชาลารถ ฉันเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก เพิ่งเห็นความเข้มงวดของระบบรักษาความปลอดภัย ไมปล่อยให้คนที่ไม่ใช่ผู้โดยสารไปเดินเล่นที่ชานชาลาเด็ดขาด หรือหากจะเข้าไปต้องแลกบัตร และที่จุดแลกบัตรนี่เอง...พนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าตา Bad Boy สเป็คสาวแซ่บอย่างเรานั่งทำหน้าที่คอยแลกบัตรอยู่...ซวยไปนะน้องที่ถูกพี่แทะโลมด้วยความคิดในใจ ^O^
พ่อเช็คชานชาลาเสร็จเรียบร้อยแต่ยังเหลืออีกกว่าชั่วโมงถึงจะได้เวลาเดินทาง พ่อไล่ให้ฉันพาพี่สาวไปส่งบ้านเพราะไม่อยากให้แกร่วรอนาน เมื่อถึงเวลาร่ำลา ไฮไลท์มันอยู่ตรงนี้....
พี่สาวเข้าไปไหว้พ่อ และกำชับให้พ่อดูแลสุขภาพ ฉันที่รอคิวอยู่รีบรวบรวมความกล้าและขับไล่ความเขินเข้าไปไหว้พ่ออย่างตั้งใจที่สุดในชีวิต แล้วก็พูดในสิ่งที่อยากจะพูด
"พ่อ ยังโกรธหนูมั้ย"
"ไม่โกรธแล้ว" พ่อพูดเสียงเบาและไม่ยอมสบตาฉัน ฉันไม่ยอมแพ้ แค่นี้ยังไม่พอ ฉันส่งพลังทั้งหมดผ่านสายตาจับจ้องพ่ออีกครั้ง
"พ่อ หนูขอโทษนะ"
"ไม่โกรธแล้ว" พ่อหันมาสบตาฉันเพียงแวบเดียวแล้วยิ้มน้อยๆ แค่นี้ฉันก็ขนลุกซู่ น้ำตาพาลจะรื้นขึ้นมาให้ได้ ต้องรีบข่มมันเอาไว้ แล้วขอให้พ่อให้ศีลให้พรฉันเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พะลังงงงง ^_^
เราขึ้นรถได้ พ่อยังคงยืนส่ง และมองจนรถของพวกเราลับสายตา พ่อก็หันหลังกลับไปยังเส้นทางที่พ่อต้องเดินทางไปต่อ...บ้านของพ่อ
"อยู่ดีๆก็ซึ้ง" ฉันเปรยขึ้นมาในรถหลังจากที่เห็นพี่สาวนั่งเงียบ
"แกหายโกรธตั้งนานแล้ว" พี่สาวอธิบาย
"แต่เราก็ไม่เคยขอโทษแกเป็นเรื่องเป็นราว..." พูดได้แค่นี้ ฉันก็เงียบไป และรีบเปลี่ยนเรื่องสนทนาทันที น้องพนักงานรักษาความปลอดภัย Bad Boy คนนั้นกลายเป็นประเด็นให้สาวแก่ได้กิ๊กกิ้วกันสนุกปากแทนเรื่องของพ่อ....ซวยไปนะน้อง ตอนนี้ไม่ใช่การแทะโลมด้วยความคิดแล้วล่ะ แต่มันลามมาเป็นการแทะโลมด้วยคำพูดซะแล้ว ^_^
นี่แหละครอบครัวฉัน ปกปิด เก็บงำความรู้สึก และไม่เคยปล่อยให้ตัวเองดราม่านาน แต่เป็นอันรู้กันว่าตอนนี้...ฉันรู้สึกเป็นอิสระ เหมือนถูกปลดปล่อยจากพันธนาการแห่งความรู้สึกผิดที่ทำให้พ่อเสียใจด้วยเรื่องอันเกิดจากความดื้อและเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไปของฉัน เป็นความรู้สึกผิดที่รัดตรึงฉันไว้มานานกว่า 15 ปี
ป.ล. ฉันกำชับคนที่บ้านว่า ห้ามบอกแม่เด็ดขาดเรื่องที่ไปเจอพ่อ เพราะไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ แต่...น้าแท้ๆที่อยู่บ้านใกล้กัน เดินมาที่บ้านฉันและบอกแม่ว่า...ฉันไปหาพ่อ...อ้าว อ้าว อ้าววววววว *O*
วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันที่เปลี่ยนเส้นทาง
เมื่อวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดสุดท้ายของ long weekend วันรัฐธรรมนูญ ในสมองมันคิดว่าวันนี้รถคงไม่ติด แต่เส้นทางปกติที่ฉันจะต้องใช้เดินทางไปรับแม่ คือ รามอินทรา มุ่งหน้าแ้จ้งวัฒนะข้ามสะพานพระรามสี่ ไปถนนราชพฤกษ์ ต่อเข้ารัตนาธิเบศร์ แ้ล้วเข้าบางใหญ่) คงต้องติด เพราะมีกิจกรรมมากมายที่เมืองทองธานี คนต้องแห่แหนกันไป และต้องส่งผลให้ถนนแจง้วัฒนะรถติด...ชัวร์!!!
สมองของฉันจึงเริ่มดำเนินการต่อทันที วาดเส้นทางใหม่ มุ่งหน้าสู่ถนนเลียบด่วน-รามอินทรา กลับรถเลี้ยวเข้าเกษตร-นวมินทร์ มุ่งหน้าสู่เกษตรต่อเนื่องงามวงศ์วานเพื่อไปพบกับถนนรัตนาธิเบศร์ แต่เรื่องจริงมันแตกต่างไปจากเรื่องที่คิดเอาไว้ ดังนี้
ฉันเจอหางแถวยาวเหยียดของช่องทางลอดใต้อุโมงค์แยกเกษตร-นวมินทร์ที่จะโผล่ึ้ขึ้นงามวงศ์วาน ฉันตัดสินใจตบซ้าย หมายจะไปกลับรถข้างหน้า แล้วค่อยเลี้ยวซ้ายเข้าแยกเกษตรเอา...แต่เมื่อมองไปข้างหน้าเรื่อยๆ สังเกตเห็นถนนว่าง เลยเปลี่ยนแผน มุ่งหน้าสู่แยกรัชโยธิน ตั้งใจข้ามวิภาวดี ลงแยกประชานุ
กูล แล้วค่อยเลี้ยวขวาเข้าประชาชื่น ขึ้นด่วน 15 บาทไปลงงามวงศ์วาน
รถค่อยๆกระดื๊บๆมาติดที่แยกรัชโยธิน เมื่อผ่านไปได้ก็ฉลุย ฉันมุ่งหน้าไปต่อตามเส้นทางที่คิดเอาไว้ในหัว จนกระทั่งลงจากทางด่วน เข้าถนนรัตนาธิเบศร์ มุ่งหน้าสู่บางใหญ่ ตลอดระยะทางมันคือเส้นทางการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง มีทั้ง barrier ตั้งกินเลนส์ มีทั้งรถตัก รถยก รถบรรทุกคอยขัดจังหวะ จนกระทั่งมาถึงบ้านแม่ ฉันรวมเวลาการเดินทางทั้งหมดหนึ่งชั่วโมงห้าสิบนาที ส่วนเส้นทางปกติที่เคยสัญจรใช้เวลาเพียงห้าสิบนาทีบวกลบรถติดแล้ว!!!!
เมื่อจอดรถ เกิดการตั้งคำถามว่า จะเปลี่ยนเส้นทางไปเพื่อ????
-ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอเมืองทองจัดอีเว้นท์ มันก็ติดแค่นิดหน่อย เดี๋ยวก็ไปต่อได้
-ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่ารัตนาธิเบศร์เขากำลังก่อสร้างรถไฟฟ้า และมีอุปสรรคขัดขวางทำให้รถวิ่งไม่สะดวก
-ไม่ใข่ตัวเองเพิ่งคิดจะเปลี่ยนเส้นทางครั้งนี้เป็นครั้งแรก แล้วทำไมไม่จำ
อืมมมม....ฉันคงขี้เบื่อ ฉันคงขี้ลืม เลยทำให้ไม่หลาบไม่จำ เส้นทางที่ใช้มันได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าใกล้ที่สุด สะดวกที่สุด ประหยัดเวลาที่สุดและประหยัดพลังงานที่สุด
การลองของใหม่ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าลองทั้งๆที่รู้ว่าของเก่าดีอยู่แล้ว ไปลองให้มันเสียเงิน เสียเวลา เสียใจ และเสียรู้ซ้ำซาก มันยิ่งไม่น่าให้อภัยตัวเอง
แต่ฉันก็ให้อภัยตัวเองด้วยการกลับมาใช้เส้นทางเดิมตอนขากลับอีกครั้งด้วยความมั่นใจ แล้วก็เป็นจริงดังคาด เมืองทองคนล้นหลามแค่ไหน มันก็ติดนิดหน่อย แล้วมันก็ไหลลื่นปื๊ด ลื่นปี๊ดเหมือนเดิม
ป.ล. ฉันสั่งลูกสาวเอาไว้ว่า คราวหน้าถ้าจะต้องไปบ้านยายอีก อย่าลืมเตือนแม่ให้ไปเส้นทางเดิม!!!
สมองของฉันจึงเริ่มดำเนินการต่อทันที วาดเส้นทางใหม่ มุ่งหน้าสู่ถนนเลียบด่วน-รามอินทรา กลับรถเลี้ยวเข้าเกษตร-นวมินทร์ มุ่งหน้าสู่เกษตรต่อเนื่องงามวงศ์วานเพื่อไปพบกับถนนรัตนาธิเบศร์ แต่เรื่องจริงมันแตกต่างไปจากเรื่องที่คิดเอาไว้ ดังนี้
ฉันเจอหางแถวยาวเหยียดของช่องทางลอดใต้อุโมงค์แยกเกษตร-นวมินทร์ที่จะโผล่ึ้ขึ้นงามวงศ์วาน ฉันตัดสินใจตบซ้าย หมายจะไปกลับรถข้างหน้า แล้วค่อยเลี้ยวซ้ายเข้าแยกเกษตรเอา...แต่เมื่อมองไปข้างหน้าเรื่อยๆ สังเกตเห็นถนนว่าง เลยเปลี่ยนแผน มุ่งหน้าสู่แยกรัชโยธิน ตั้งใจข้ามวิภาวดี ลงแยกประชานุ
กูล แล้วค่อยเลี้ยวขวาเข้าประชาชื่น ขึ้นด่วน 15 บาทไปลงงามวงศ์วาน
รถค่อยๆกระดื๊บๆมาติดที่แยกรัชโยธิน เมื่อผ่านไปได้ก็ฉลุย ฉันมุ่งหน้าไปต่อตามเส้นทางที่คิดเอาไว้ในหัว จนกระทั่งลงจากทางด่วน เข้าถนนรัตนาธิเบศร์ มุ่งหน้าสู่บางใหญ่ ตลอดระยะทางมันคือเส้นทางการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง มีทั้ง barrier ตั้งกินเลนส์ มีทั้งรถตัก รถยก รถบรรทุกคอยขัดจังหวะ จนกระทั่งมาถึงบ้านแม่ ฉันรวมเวลาการเดินทางทั้งหมดหนึ่งชั่วโมงห้าสิบนาที ส่วนเส้นทางปกติที่เคยสัญจรใช้เวลาเพียงห้าสิบนาทีบวกลบรถติดแล้ว!!!!
เมื่อจอดรถ เกิดการตั้งคำถามว่า จะเปลี่ยนเส้นทางไปเพื่อ????
-ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอเมืองทองจัดอีเว้นท์ มันก็ติดแค่นิดหน่อย เดี๋ยวก็ไปต่อได้
-ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่ารัตนาธิเบศร์เขากำลังก่อสร้างรถไฟฟ้า และมีอุปสรรคขัดขวางทำให้รถวิ่งไม่สะดวก
-ไม่ใข่ตัวเองเพิ่งคิดจะเปลี่ยนเส้นทางครั้งนี้เป็นครั้งแรก แล้วทำไมไม่จำ
อืมมมม....ฉันคงขี้เบื่อ ฉันคงขี้ลืม เลยทำให้ไม่หลาบไม่จำ เส้นทางที่ใช้มันได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าใกล้ที่สุด สะดวกที่สุด ประหยัดเวลาที่สุดและประหยัดพลังงานที่สุด
การลองของใหม่ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าลองทั้งๆที่รู้ว่าของเก่าดีอยู่แล้ว ไปลองให้มันเสียเงิน เสียเวลา เสียใจ และเสียรู้ซ้ำซาก มันยิ่งไม่น่าให้อภัยตัวเอง
แต่ฉันก็ให้อภัยตัวเองด้วยการกลับมาใช้เส้นทางเดิมตอนขากลับอีกครั้งด้วยความมั่นใจ แล้วก็เป็นจริงดังคาด เมืองทองคนล้นหลามแค่ไหน มันก็ติดนิดหน่อย แล้วมันก็ไหลลื่นปื๊ด ลื่นปี๊ดเหมือนเดิม
ป.ล. ฉันสั่งลูกสาวเอาไว้ว่า คราวหน้าถ้าจะต้องไปบ้านยายอีก อย่าลืมเตือนแม่ให้ไปเส้นทางเดิม!!!
วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันที่เราต้องเข้าใจตัวเองเพื่อแก้ไขปัจจุบันและเดินหน้าสู่อนาคต
วันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2553
ฉันไปดูหมอมา...!!!! ใครจะคิดว่าหน้าร้านขายเสื้อผ้ารองเท้าผู้หญิงธรรมดาๆ แต่ภายในคือสำนักของหมอดูที่ทำนายทายทักแบบว่า Perfect ตามสโลแกนที่หมอแปะเอาไ้ว้ในร้าน
โดยทั่วไปเรื่องงานการ หมอไม่ได้พูดถึงมากนัก เพราะมันไม่ใชุ่จุดอ่่อนของฉัน ทายซิว่าจุดอ่อนของฉันคืออะไร...ถูกต้อง นึกถึงหน้าออฟ ปองศักดิ์เอาไว้แล้วร้องเพลง "จุดอ่อนของฉัน...อยู่ตรงที่หัวใจ" ฉันเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย และจะต้องลงเอยด้วยการ "อยู่เพียงลำพัง" ตามชะตาฟ้าลิขิต ถ้าไม่คิดจะลุกขึ้นมาท้าทายดวง และหมอก็ได้ขยี้ลักษณะนิสัยที่เป็นจุดอ่อนของฉันให้ได้กระจ่างใจ จนทำให้รู้เท่าทันตัวเองว่า อ้อ...มันเป็นเช่นนั้นเอง มิน่า...อ้อ...
การไปดูหมอครั้งนี้ จึงเป็นการเน้นอธิบายถึงเรื่องหรือเหตุการณ์ที่ผ่านมาและที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ทำนายอนาคตสักเท่าไหร่ ขอแค่ฉันเข้าใจอดีต เพื่อแก้ไขปัจจุบัน อนาคตมันก็จะดีเอง
เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ขณะที่ฉันนั่งฟังหมอ บอกตามตรงว่าฉันพยายามที่จะทำความเข้าใจกับสิ่งที่หมอพูดอย่างลำบากยากเย็นด้วยภาษาที่หมอใช้ และการอธิบายที่เป็นมหภาคมากๆ แต่เมื่อฉันออกจากร้านหมอ ในหัวฉันก็ปรากฏภาพสิ่งที่ฉันต้องทำนับจากวินาทีนี้ไปขึ้นมาอย่างแจ่มชัดเป็นข้อๆ ดังนี้
1. ฉันต้องใส่ใจและเลิกออกคำสั่งชี้นิ้วเป็นคุณนายกับคนรัก ถ้าหากให้เขายังอยู่กับเรา หมอย้ำสองสามครั้งว่า โชคดีนะที่มีคนรัก นั่นสิ ถ้าไม่อยากอยู่คนเดียวในบั้นปลายก็จงพยายาม
2. ฉันต้องเลิกโทรจิตถึงใครบางคน เพราะยังไงเขาก็ "ไม่" กับฉัน ถึงแม้จะมีพื้นฐานอยู่บ้าง
3. ฉันต้องเลิกสูบบุหรี่และกินเหล้า เพื่อเพิ่มพลังแห่งจิตของตัวเอง และหมั่นสวดมนต์เพื่อเพิ่มบารมีแห่งพุทธคุณ
4. ฉันต้องกราบขออโหสิกรรมกับแม่ ที่ตั้งใจดูแลงานการในบ้านให้ฉันด้วยความเต็มใจ แต่กลายเป็นสร้างเวรสร้างกรรมให้ลูกโดยไม่ตั้งใจ เพราะมันเหมือนแม่ต้องมารับใช้ฉัน หมอตั้งข้อสังเกต ทำไมฉันถึงต้องทำงานทั้ง 7 วันโดยไม่ีมีวันได้หยุดพัก....เพราะแม่ฉันไม่เคยได้พักจากสิ่งที่ทำให้ฉันเลย
และนี่คือผลจากการ "คิดได้" จากคำพูดของหมอ และฉันลงมือทำ
1. ฉันไปกราบเท้าแม่เพื่อขออโหสิกรรม แม่บอกว่า อโหสิ ไม่เคยคิดว่าจะทำให้ลูกมีเวรมีกรรมเลย ฉันจึงออกคำสั่งเด็ดขาด ทำได้วันธรรมดา แต่ถ้าเสาร์อาทิตย์ ได้โปรดหยุดกิจทุกอย่าง ถ้าไม่อยากให้ลูกเหนื่อยตลอด 7 วัน แม่รับปากว่าจะสั่งส้มตำกินแทนการทำกับข้าว และจะไม่ซักผ้ารีดผ้าให้ในวันเสาร์อาทิตย์
2. ฉันเลิกสูบบุหรี่มาได้จะครบวันแล้ว และ cancel โอกาสที่จะืเอื้อให้ดื่มไปซะ และฉันสวดมนต์
3. ถึงในใจจะอยากอยู่คนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร แต่ในเมื่อปัจจุบันมันยังอยู่ไม่ได้ ฉันจึงต้องเดินหน้าต่อ โดยกลับไปพูดดี พูดหวาน และเอาใจใส่คนรัก คิดซะว่าเขาคือกัลยาณมิตรคนหนึ่ง และฉันไม่ควรจะทำร้ายเขา
4. ฉันเลิกโทรจิตไม่ได้ แต่ฉันรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองมากขึ้นว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่้ แล้วหาอะไรทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ อยากเลิกจากอาการนี้ เพราะมีแต่ทำร้ายตัวเอง
ยังจำคำเตือนของหมออยู่ในหัวว่า...ไม่ต้องรีบ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ทุกอย่างมันมีจังหวะและเวลาของมัน ถ้าความรักของฉันดี ทุกอย่างในชีวิตก็จะดีตาม และที่มันไม่ดี อย่าโทษใคร เพราะฉันแพ้ใจตัวเองทั้งนั้น ดังนั้นฉันจึงพยายามที่จะเข้าใจตัวเองเพื่อที่จะเดินหน้าสู่อนาคตได้อย่างมั่นใจ ไม่ใช่คนที่เดินไปด้วยหัวใจที่อ่อนแอ เคยได้ยินมั้ย...ชัยชนะใดยิ่งใหญ่กว่าการชนะใจตัวเองนั้นไม่มี
ฉันจะเอาโล่ห์มาครอง คอยดูสิ!!!
ป.ล. ก่อนจากกันหมอทิ้งท้ายเอาไว้ว่า...อย่าขี้เกียจ...อุ๊ย...โดนอ่ะ ^_^
ฉันไปดูหมอมา...!!!! ใครจะคิดว่าหน้าร้านขายเสื้อผ้ารองเท้าผู้หญิงธรรมดาๆ แต่ภายในคือสำนักของหมอดูที่ทำนายทายทักแบบว่า Perfect ตามสโลแกนที่หมอแปะเอาไ้ว้ในร้าน
โดยทั่วไปเรื่องงานการ หมอไม่ได้พูดถึงมากนัก เพราะมันไม่ใชุ่จุดอ่่อนของฉัน ทายซิว่าจุดอ่อนของฉันคืออะไร...ถูกต้อง นึกถึงหน้าออฟ ปองศักดิ์เอาไว้แล้วร้องเพลง "จุดอ่อนของฉัน...อยู่ตรงที่หัวใจ" ฉันเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย และจะต้องลงเอยด้วยการ "อยู่เพียงลำพัง" ตามชะตาฟ้าลิขิต ถ้าไม่คิดจะลุกขึ้นมาท้าทายดวง และหมอก็ได้ขยี้ลักษณะนิสัยที่เป็นจุดอ่อนของฉันให้ได้กระจ่างใจ จนทำให้รู้เท่าทันตัวเองว่า อ้อ...มันเป็นเช่นนั้นเอง มิน่า...อ้อ...
การไปดูหมอครั้งนี้ จึงเป็นการเน้นอธิบายถึงเรื่องหรือเหตุการณ์ที่ผ่านมาและที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ทำนายอนาคตสักเท่าไหร่ ขอแค่ฉันเข้าใจอดีต เพื่อแก้ไขปัจจุบัน อนาคตมันก็จะดีเอง
เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ขณะที่ฉันนั่งฟังหมอ บอกตามตรงว่าฉันพยายามที่จะทำความเข้าใจกับสิ่งที่หมอพูดอย่างลำบากยากเย็นด้วยภาษาที่หมอใช้ และการอธิบายที่เป็นมหภาคมากๆ แต่เมื่อฉันออกจากร้านหมอ ในหัวฉันก็ปรากฏภาพสิ่งที่ฉันต้องทำนับจากวินาทีนี้ไปขึ้นมาอย่างแจ่มชัดเป็นข้อๆ ดังนี้
1. ฉันต้องใส่ใจและเลิกออกคำสั่งชี้นิ้วเป็นคุณนายกับคนรัก ถ้าหากให้เขายังอยู่กับเรา หมอย้ำสองสามครั้งว่า โชคดีนะที่มีคนรัก นั่นสิ ถ้าไม่อยากอยู่คนเดียวในบั้นปลายก็จงพยายาม
2. ฉันต้องเลิกโทรจิตถึงใครบางคน เพราะยังไงเขาก็ "ไม่" กับฉัน ถึงแม้จะมีพื้นฐานอยู่บ้าง
3. ฉันต้องเลิกสูบบุหรี่และกินเหล้า เพื่อเพิ่มพลังแห่งจิตของตัวเอง และหมั่นสวดมนต์เพื่อเพิ่มบารมีแห่งพุทธคุณ
4. ฉันต้องกราบขออโหสิกรรมกับแม่ ที่ตั้งใจดูแลงานการในบ้านให้ฉันด้วยความเต็มใจ แต่กลายเป็นสร้างเวรสร้างกรรมให้ลูกโดยไม่ตั้งใจ เพราะมันเหมือนแม่ต้องมารับใช้ฉัน หมอตั้งข้อสังเกต ทำไมฉันถึงต้องทำงานทั้ง 7 วันโดยไม่ีมีวันได้หยุดพัก....เพราะแม่ฉันไม่เคยได้พักจากสิ่งที่ทำให้ฉันเลย
และนี่คือผลจากการ "คิดได้" จากคำพูดของหมอ และฉันลงมือทำ
1. ฉันไปกราบเท้าแม่เพื่อขออโหสิกรรม แม่บอกว่า อโหสิ ไม่เคยคิดว่าจะทำให้ลูกมีเวรมีกรรมเลย ฉันจึงออกคำสั่งเด็ดขาด ทำได้วันธรรมดา แต่ถ้าเสาร์อาทิตย์ ได้โปรดหยุดกิจทุกอย่าง ถ้าไม่อยากให้ลูกเหนื่อยตลอด 7 วัน แม่รับปากว่าจะสั่งส้มตำกินแทนการทำกับข้าว และจะไม่ซักผ้ารีดผ้าให้ในวันเสาร์อาทิตย์
2. ฉันเลิกสูบบุหรี่มาได้จะครบวันแล้ว และ cancel โอกาสที่จะืเอื้อให้ดื่มไปซะ และฉันสวดมนต์
3. ถึงในใจจะอยากอยู่คนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร แต่ในเมื่อปัจจุบันมันยังอยู่ไม่ได้ ฉันจึงต้องเดินหน้าต่อ โดยกลับไปพูดดี พูดหวาน และเอาใจใส่คนรัก คิดซะว่าเขาคือกัลยาณมิตรคนหนึ่ง และฉันไม่ควรจะทำร้ายเขา
4. ฉันเลิกโทรจิตไม่ได้ แต่ฉันรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองมากขึ้นว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่้ แล้วหาอะไรทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ อยากเลิกจากอาการนี้ เพราะมีแต่ทำร้ายตัวเอง
ยังจำคำเตือนของหมออยู่ในหัวว่า...ไม่ต้องรีบ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ทุกอย่างมันมีจังหวะและเวลาของมัน ถ้าความรักของฉันดี ทุกอย่างในชีวิตก็จะดีตาม และที่มันไม่ดี อย่าโทษใคร เพราะฉันแพ้ใจตัวเองทั้งนั้น ดังนั้นฉันจึงพยายามที่จะเข้าใจตัวเองเพื่อที่จะเดินหน้าสู่อนาคตได้อย่างมั่นใจ ไม่ใช่คนที่เดินไปด้วยหัวใจที่อ่อนแอ เคยได้ยินมั้ย...ชัยชนะใดยิ่งใหญ่กว่าการชนะใจตัวเองนั้นไม่มี
ฉันจะเอาโล่ห์มาครอง คอยดูสิ!!!
ป.ล. ก่อนจากกันหมอทิ้งท้ายเอาไว้ว่า...อย่าขี้เกียจ...อุ๊ย...โดนอ่ะ ^_^
วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553
เพียงคำที่เรามิเคยเอื้อนเอ่ยต่อกัน
อาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม 2553
จั่วหัวเรื่องด้วยการยืมชื่อหนังสือแปลของสำนักพิมพ์กำมะหยี่ (ของเพื่อนรัก) ขออนุญาตนะจ๊ะ เพราะมันเหมาะกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้
หมายเหตุ : เพียงคำที่เรามิเคยเอื้อนเอ่ยต่อกัน...นวนิยายแปลจากภาษาฝรั่งเศส โดยอธิชา มัญชุนากร กาบูล็องต์ นวนิยายแนวโรแมนติกที่พูดถึงสัมพันธภาพที่ไม่ปกติระหว่างพ่อกับลูกสาวที่ฉันชอบมาก มุขของพ่อที่พยายามทำในสิ่งที่เรียกว่าขอแก้ตัวกับลูกสาว มันสนุกจนแทบวางไม่ลง
ฉันต้องไปร่วมงานแต่งงานของน้องชาย ไม่ใช่น้องชายแท้ๆ แต่เป็นลูกชายของน้าสาว เป็นน้องชายที่ฉันได้ใกล้ชิดตั้งแต่เขาอยู่ในท้องแม่ ยังจำได้วันที่น้าท้องแก่และมาอยู่ร่วมชายคาบ้านของยาย ซึ่งมีิหลายคนอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่ ฉันกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น เป็นวัยรุ่นที่กำลังมีอารมณ์ซับซ้อนซ่อนเปรี้ยวแต่ไม่กล้าเปิด เจอน้าสาวคนนี้บ่นเข้าให้ด้วยเรื่องอะไรจำไม่ได้ แล้วฉันเถียงกลับทันควัน โอ้โห...เกือบเอาชีวิตไม่รอด นี่แหละที่เขาว่าอย่าแหย่คนท้องแก่ จนน้าคลอดน้อง แล้วมาพักฟื้นกับยาย เราหลายคนช่วยกันเลี้ยง จนน้าแข็งแรงดีแล้วจึงอพยพกลับบ้านตัวเองไป เราได้พบปะกันอยู่เนืองๆ โดยมีบ้านยายเป็นศูนย์กลาง เห็นพัฒนาการและการเติบโตของน้องชายคนนี้มาเรื่อยๆ จนจบการศึกษาเป็นหนุ่มหล่อรูปร่างสูงใหญ่ เริ่มชีวิตผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว และขณะนี้ก็เริ่มเป็นพ่อคน...น้องฉันเลือกวันพ่อแห่งชาติเป็นวันแต่งงาน
ด้วยวัยเพียงยี่สิบสี่ปี หลายคนสงสัยถึงความพร้อมในการมีชีวิตคู่ โดยเฉพาะเมื่อกำลังจะมีสักขีพยานรัก แต่ฉันบอกกับพี่ชายของเขาที่โทรมาบอกข่าวเรื่องงานแต่งงานและเหตุผลไปว่า มันเป็นเรื่องที่ดี อย่าได้คิดว่าเป็นเรื่องอันน่าละอาย ฉันบอกใครต่อใครเสมอว่า เพียงแค่ถ้าใจพร้อมก็ลุยโลด!!!
และบรรทัดต่อจากนี้ไปคือสิ่งที่ฉันมิเคยได้เอื้อนเอ่ยกับใครในวันนั้น...
...เมื่อคนสองคนรักกันมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยเปลี่ยนใจ พักร้อน ขอเวลานอกไปคบหาคนอื่น และได้รับผิดชอบทำหน้าที่ของตัวเองด้วยการเรียนจนจบ มีงานทำ ให้พ่อแม่สบายใจแล้ว จะกลัวอะไรอีก ชีวิตต่อจากนี้เป็นเส้นทางที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง ยิ่งเป็นลูกผู้ชายยิ่งต้องยืดอกและเชิดหน้ารับผิดชอบ "ชีวิตใหม่" ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างสง่างาม และน้องทำถูกแล้วที่จัดงานแต่งงานบอกกล่าวผู้เกี่ยวข้องทุกคนให้ได้รับรู้ ทำทุกอย่างตามประเพณี เพื่อรักษาเกียรติของผู้หญิงที่ตัวเองรัก...ถึงไม่ใช่งานแต่งที่ใหญ่โตอะไร ถึงไม่ใช่งานแต่งที่สวยงาม และมีองค์ประกอบเลิศหรูสมบูรณ์แบบอย่างที่ทุกคนย่อมใฝ่ฝันถึง...แต่มันก็เป็นงานของเรา ที่มีเราเดินเคียงคู่กันตลอดเวลา
ฉันก็สังเกตเห็นแววตาของความหวาดหวั่นในดวงตาคู่สวยของเจ้าสาวขณะที่เดินไปทักทายแขกตามโต๊ะ เป็นธรรมดาที่ต้องเกิดความรู้สึกแบบนี้ เพราะต่อไปนี้คือบทบาทของการเป็นเมีย แม่และสะใภ้ที่ต้องรับผิดชอบ ฉันเห็นน้องชายจับมือเจ้าสาวเอาไว้ เขาอาจจะกำลังบอกเจ้าสาวให้รู้สึกมั่นใจ และปลอดภัยโดยที่ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่ฉันรู้สึกได้ว่าเขาสองคนกำลังพูดกันผ่านสัมผัสนั้น
อยากให้น้องทั้งสองคนมองงานแต่งงานที่ความหมายไม่ใช่รูปแบบของพิธีการ ความหมายของการมีคนสองคนเดินเคียงคู่กัน ความหมายของการที่คนสองคนจับมือพากันเดินไป ความหมายของคนสองคนที่ช่วยกันเตรียมการทุกอย่างเพื่อให้มีวันที่สำคัญวันนี้ มันคือมหัศจรรย์แห่งรัก แต่ในความรักต้องมีความเข้าใจเป็นพื้นฐาน ไม่เคยเห็นชีวิตคู่ของใครที่ไปรอดถ้าปราศจากความเข้าใจ
แต่ทั้งคู่จะไม่มีวันเข้าใจจนกว่าจะได้ใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกันจริงๆ ถึงเวลานั้นบททดสอบประดามีจะดาหน้ากันเข้ามาท้าทายเหมือนเราไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยกับมัน ถ้ารากฐานแข็งแรงพอ คำว่าถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรก็จะเป็นจริงสมคำอวยพร ฉันภาวนาขอให้ทั้งคู่เข้าใจ....
ฉันกลับมาบ้านด้วยอารมณ์ที่หลากความรู้สึก ดีใจที่ครอบครัวใหญ่ของเราได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ สะเทือนใจที่เห็นการยังไม่เปิดใจยอมรับความน่ายินดีของบางคน และเศร้าใจกับตัวเอง...ฉันได้เห็นว่าที่พ่อที่กำลังตื่นเต้นกับการทำหน้าที่ ทำให้ฉันคิดถึงพ่อ...ถึงตอนนี้ไม่ได้ทำหน้าที่พ่อ แต่ยังไงก็ยังเป็นพ่อ...ฉันโทรหาพ่อของฉันในวันต่อมา
ความจริงฉันควรจะโทรหาพ่อเมื่อวาน แต่มันมักเป็นเช่นนี้เสมอ ฉันชอบดีเลย์ ไม่ค่อยอยากตามกระแส แต่ความจริงก็คือกำลังคิดสคริปท์ที่จะสนทนากับพ่อให้เป็นปกติต่างหาก
"ฮัลโหล...พ่อ แหม่มเอง"
"ใครนะ..."
"แหม่ม"
"น้ำ??? สวัสดีครับ"
จะเสียงหล่อทำไมเนี่ย กลัวพ่อจะคิดว่ามีผู้หญิงโทรมาจีบฉันเลยรีบชี้แจงไปทันทีว่าฉันคือแหม่ม ลูกสาวพ่อต่างหาก พ่ออึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะรีบพูดถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับฉัน เราสนทนากันเรื่องทั่วๆไป...พ่อทำอะไร...ก๊งอยู่...พ่อจะมาหาหมอที่กรุงเทพกลางเดือนใช่มั้ย...ใช่ๆ ลูกมาหาพ่อสิ มานะ...จะไปหานะ จะพาพ่อไปกินข้าว...อย่าลืมบอกน้องด้วยนะให้มาหาพ่อ...ได้ๆ จะบอก น้องกำลังยุ่งเรื่องลูกสาว กำลังจะขวบแล้วนะ...ส่วนไอ้ตัวเล็กของแหม่มจะเข้าอนุบาลปีหน้า.....
พ่อแสดงการรับรู้ด้วยคำว่า...อืม...อืม...ไม่มีคำพูดอะไรมากกว่านี้...แต่ฉันก็เข้าใจ พ่อเลือกที่จะรับรู้เรื่องบางเรื่องและปิดใจกับเรื่องบางเรื่องที่มันทำให้พ่อเสียใจ...แต่ฉันก็เข้าใจ ถึงแม้จะแอบน้อยใจในบางครั้ง และตั้งใจว่าจะพาพ่อไปกินข้าวให้ได้ เราจบการสนทนาด้วยการตัดบทของพ่อ ฉันมองโทรศัพท์อยู่ชั่วครู่ก่อนจะกดปุ่มเลิกสนทนา พลางคิดว่า นี่คือรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพ่อที่ต้องดำเนินไปจนกว่าจะตายจากกัน ความสัมพันธ์ที่มีช่องว่างให้เติมคำ แต่ไม่ต้องส่งคำตอบให้คุณครู ไม่มีวันกลับมาสมบูรณ์ แต่ฉันก็ยอมรับมัน
ถึงตอนนี้ก็ยังอธิบายมาเป็นคำพูดไม่ถูกว่าความคิดของตัวเองที่อยู่ในหัวมันคืออะไร บอกได้แค่ลักษณะที่อึนๆ นัวๆ แปลกๆ ไม่ได้อยากร้องไห้ แต่ก็ยิ้มไม่ออก สิ่งที่เขียนในครั้งนี้เลยมีอาการเหมือนกัน
ในนวนิยายเรื่องนั้น พ่อพยายามจะแก้ตัวกับลูก แต่ในชีวิตจริงลูกอย่างฉันพยายามจะแก้ตัวกับพ่อ...ฉันไม่รู้ว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน แต่ฉันกำลังทำ
ป.ล สิ่งที่มิเคยเอื้อนเอ่ยกับน้องอีกอย่างหนึ่งก็คือ...ซองของพี่อาจจะฟีบไปสักเล็กน้อย เพราะภาวะเศรษฐกิจ แต่รอตอนรับขวัญหลานแล้วกันนะ รับรอง...จัดเต็ม!!! ^_^
จั่วหัวเรื่องด้วยการยืมชื่อหนังสือแปลของสำนักพิมพ์กำมะหยี่ (ของเพื่อนรัก) ขออนุญาตนะจ๊ะ เพราะมันเหมาะกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้
หมายเหตุ : เพียงคำที่เรามิเคยเอื้อนเอ่ยต่อกัน...นวนิยายแปลจากภาษาฝรั่งเศส โดยอธิชา มัญชุนากร กาบูล็องต์ นวนิยายแนวโรแมนติกที่พูดถึงสัมพันธภาพที่ไม่ปกติระหว่างพ่อกับลูกสาวที่ฉันชอบมาก มุขของพ่อที่พยายามทำในสิ่งที่เรียกว่าขอแก้ตัวกับลูกสาว มันสนุกจนแทบวางไม่ลง
ฉันต้องไปร่วมงานแต่งงานของน้องชาย ไม่ใช่น้องชายแท้ๆ แต่เป็นลูกชายของน้าสาว เป็นน้องชายที่ฉันได้ใกล้ชิดตั้งแต่เขาอยู่ในท้องแม่ ยังจำได้วันที่น้าท้องแก่และมาอยู่ร่วมชายคาบ้านของยาย ซึ่งมีิหลายคนอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่ ฉันกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น เป็นวัยรุ่นที่กำลังมีอารมณ์ซับซ้อนซ่อนเปรี้ยวแต่ไม่กล้าเปิด เจอน้าสาวคนนี้บ่นเข้าให้ด้วยเรื่องอะไรจำไม่ได้ แล้วฉันเถียงกลับทันควัน โอ้โห...เกือบเอาชีวิตไม่รอด นี่แหละที่เขาว่าอย่าแหย่คนท้องแก่ จนน้าคลอดน้อง แล้วมาพักฟื้นกับยาย เราหลายคนช่วยกันเลี้ยง จนน้าแข็งแรงดีแล้วจึงอพยพกลับบ้านตัวเองไป เราได้พบปะกันอยู่เนืองๆ โดยมีบ้านยายเป็นศูนย์กลาง เห็นพัฒนาการและการเติบโตของน้องชายคนนี้มาเรื่อยๆ จนจบการศึกษาเป็นหนุ่มหล่อรูปร่างสูงใหญ่ เริ่มชีวิตผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว และขณะนี้ก็เริ่มเป็นพ่อคน...น้องฉันเลือกวันพ่อแห่งชาติเป็นวันแต่งงาน
ด้วยวัยเพียงยี่สิบสี่ปี หลายคนสงสัยถึงความพร้อมในการมีชีวิตคู่ โดยเฉพาะเมื่อกำลังจะมีสักขีพยานรัก แต่ฉันบอกกับพี่ชายของเขาที่โทรมาบอกข่าวเรื่องงานแต่งงานและเหตุผลไปว่า มันเป็นเรื่องที่ดี อย่าได้คิดว่าเป็นเรื่องอันน่าละอาย ฉันบอกใครต่อใครเสมอว่า เพียงแค่ถ้าใจพร้อมก็ลุยโลด!!!
และบรรทัดต่อจากนี้ไปคือสิ่งที่ฉันมิเคยได้เอื้อนเอ่ยกับใครในวันนั้น...
...เมื่อคนสองคนรักกันมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยเปลี่ยนใจ พักร้อน ขอเวลานอกไปคบหาคนอื่น และได้รับผิดชอบทำหน้าที่ของตัวเองด้วยการเรียนจนจบ มีงานทำ ให้พ่อแม่สบายใจแล้ว จะกลัวอะไรอีก ชีวิตต่อจากนี้เป็นเส้นทางที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง ยิ่งเป็นลูกผู้ชายยิ่งต้องยืดอกและเชิดหน้ารับผิดชอบ "ชีวิตใหม่" ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างสง่างาม และน้องทำถูกแล้วที่จัดงานแต่งงานบอกกล่าวผู้เกี่ยวข้องทุกคนให้ได้รับรู้ ทำทุกอย่างตามประเพณี เพื่อรักษาเกียรติของผู้หญิงที่ตัวเองรัก...ถึงไม่ใช่งานแต่งที่ใหญ่โตอะไร ถึงไม่ใช่งานแต่งที่สวยงาม และมีองค์ประกอบเลิศหรูสมบูรณ์แบบอย่างที่ทุกคนย่อมใฝ่ฝันถึง...แต่มันก็เป็นงานของเรา ที่มีเราเดินเคียงคู่กันตลอดเวลา
ฉันก็สังเกตเห็นแววตาของความหวาดหวั่นในดวงตาคู่สวยของเจ้าสาวขณะที่เดินไปทักทายแขกตามโต๊ะ เป็นธรรมดาที่ต้องเกิดความรู้สึกแบบนี้ เพราะต่อไปนี้คือบทบาทของการเป็นเมีย แม่และสะใภ้ที่ต้องรับผิดชอบ ฉันเห็นน้องชายจับมือเจ้าสาวเอาไว้ เขาอาจจะกำลังบอกเจ้าสาวให้รู้สึกมั่นใจ และปลอดภัยโดยที่ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่ฉันรู้สึกได้ว่าเขาสองคนกำลังพูดกันผ่านสัมผัสนั้น
อยากให้น้องทั้งสองคนมองงานแต่งงานที่ความหมายไม่ใช่รูปแบบของพิธีการ ความหมายของการมีคนสองคนเดินเคียงคู่กัน ความหมายของการที่คนสองคนจับมือพากันเดินไป ความหมายของคนสองคนที่ช่วยกันเตรียมการทุกอย่างเพื่อให้มีวันที่สำคัญวันนี้ มันคือมหัศจรรย์แห่งรัก แต่ในความรักต้องมีความเข้าใจเป็นพื้นฐาน ไม่เคยเห็นชีวิตคู่ของใครที่ไปรอดถ้าปราศจากความเข้าใจ
แต่ทั้งคู่จะไม่มีวันเข้าใจจนกว่าจะได้ใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกันจริงๆ ถึงเวลานั้นบททดสอบประดามีจะดาหน้ากันเข้ามาท้าทายเหมือนเราไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยกับมัน ถ้ารากฐานแข็งแรงพอ คำว่าถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรก็จะเป็นจริงสมคำอวยพร ฉันภาวนาขอให้ทั้งคู่เข้าใจ....
ฉันกลับมาบ้านด้วยอารมณ์ที่หลากความรู้สึก ดีใจที่ครอบครัวใหญ่ของเราได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ สะเทือนใจที่เห็นการยังไม่เปิดใจยอมรับความน่ายินดีของบางคน และเศร้าใจกับตัวเอง...ฉันได้เห็นว่าที่พ่อที่กำลังตื่นเต้นกับการทำหน้าที่ ทำให้ฉันคิดถึงพ่อ...ถึงตอนนี้ไม่ได้ทำหน้าที่พ่อ แต่ยังไงก็ยังเป็นพ่อ...ฉันโทรหาพ่อของฉันในวันต่อมา
ความจริงฉันควรจะโทรหาพ่อเมื่อวาน แต่มันมักเป็นเช่นนี้เสมอ ฉันชอบดีเลย์ ไม่ค่อยอยากตามกระแส แต่ความจริงก็คือกำลังคิดสคริปท์ที่จะสนทนากับพ่อให้เป็นปกติต่างหาก
"ฮัลโหล...พ่อ แหม่มเอง"
"ใครนะ..."
"แหม่ม"
"น้ำ??? สวัสดีครับ"
จะเสียงหล่อทำไมเนี่ย กลัวพ่อจะคิดว่ามีผู้หญิงโทรมาจีบฉันเลยรีบชี้แจงไปทันทีว่าฉันคือแหม่ม ลูกสาวพ่อต่างหาก พ่ออึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะรีบพูดถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับฉัน เราสนทนากันเรื่องทั่วๆไป...พ่อทำอะไร...ก๊งอยู่...พ่อจะมาหาหมอที่กรุงเทพกลางเดือนใช่มั้ย...ใช่ๆ ลูกมาหาพ่อสิ มานะ...จะไปหานะ จะพาพ่อไปกินข้าว...อย่าลืมบอกน้องด้วยนะให้มาหาพ่อ...ได้ๆ จะบอก น้องกำลังยุ่งเรื่องลูกสาว กำลังจะขวบแล้วนะ...ส่วนไอ้ตัวเล็กของแหม่มจะเข้าอนุบาลปีหน้า.....
พ่อแสดงการรับรู้ด้วยคำว่า...อืม...อืม...ไม่มีคำพูดอะไรมากกว่านี้...แต่ฉันก็เข้าใจ พ่อเลือกที่จะรับรู้เรื่องบางเรื่องและปิดใจกับเรื่องบางเรื่องที่มันทำให้พ่อเสียใจ...แต่ฉันก็เข้าใจ ถึงแม้จะแอบน้อยใจในบางครั้ง และตั้งใจว่าจะพาพ่อไปกินข้าวให้ได้ เราจบการสนทนาด้วยการตัดบทของพ่อ ฉันมองโทรศัพท์อยู่ชั่วครู่ก่อนจะกดปุ่มเลิกสนทนา พลางคิดว่า นี่คือรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพ่อที่ต้องดำเนินไปจนกว่าจะตายจากกัน ความสัมพันธ์ที่มีช่องว่างให้เติมคำ แต่ไม่ต้องส่งคำตอบให้คุณครู ไม่มีวันกลับมาสมบูรณ์ แต่ฉันก็ยอมรับมัน
ถึงตอนนี้ก็ยังอธิบายมาเป็นคำพูดไม่ถูกว่าความคิดของตัวเองที่อยู่ในหัวมันคืออะไร บอกได้แค่ลักษณะที่อึนๆ นัวๆ แปลกๆ ไม่ได้อยากร้องไห้ แต่ก็ยิ้มไม่ออก สิ่งที่เขียนในครั้งนี้เลยมีอาการเหมือนกัน
ในนวนิยายเรื่องนั้น พ่อพยายามจะแก้ตัวกับลูก แต่ในชีวิตจริงลูกอย่างฉันพยายามจะแก้ตัวกับพ่อ...ฉันไม่รู้ว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน แต่ฉันกำลังทำ
ป.ล สิ่งที่มิเคยเอื้อนเอ่ยกับน้องอีกอย่างหนึ่งก็คือ...ซองของพี่อาจจะฟีบไปสักเล็กน้อย เพราะภาวะเศรษฐกิจ แต่รอตอนรับขวัญหลานแล้วกันนะ รับรอง...จัดเต็ม!!! ^_^
วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันที่นกไม่ได้ออกโบยบิน ^_T
วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม 2553
วันนี้มีทริป "บ้านภูพอดี" ที่เขาใหญ่ บ้านพักของพี่ธงชัย ประสงค์สันติ นายจ้างของเรา แต่ฉันไปไม่ได้ T_T มีเพียงตรียูงทองตัวผู้เท่านั้นที่ได้ไปแจม ส่วนตัวเมียอย่างฉันต้องปฏิบัติภารกิจนางงามที่กรุงเทพ ทั้งที่หัวใจอยากโบยบินตามไปด้วยเหลือเกิน
หมายเหตุ...นามปากกาทีมของฉันชื่อ "ตรียูงทอง" มีฉันเป็นนกยูงตัวเีมียแต่เพียงผู้เดียว นอกนั้นตัวผู้หมด
รายการเส้นทางนางงามของฉัน มีดังนี้
- ต่อดอกตั๋วจำนำสร้อยคอทองคำที่ยืมแม่ผัวมา...ฮาาาา
- จ่ายค่าไฟ
- จ่ายค่าโทรศัพท์
- พาแม่ไปทำผม ทำเล็บ
- พาลูกไปซื้อถุงน่อง
- พาลูกไปเรียนพิเศษ
- พาแม่พาลูกไปงานแต่งงานน้องชายตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เพราะเขาจะให้ลูกสาวฉันถือหมอน (12ขวบเอง
นะ...จะดีเหรอออออ)
- ทำ Proposal งานพ่องานแม่ส่ง organizer คู่เวรคู่กรรม
- ทำ Plot ละครเทวดา...สาธุตอนใหม่สำหรับน้องซาร่า
- เขียนนิยายตอนแรกให้ได้ทีเหอะ
- อัพบล็อคตัวเอง หุหุหุ ^_-
เลยต้องยอมพับปีกตัวเองไว้ชั่วคราว ไว้มีโอกาสค่อยหยิบมาสวมแล้วกระพือออกไปอีกครั้ง แต่คงต้องขอวีซ่าอนุญาตให้ออกนอกประเทศที่เรียกว่า "บ้าน"จากลูกและสามีล่วงหน้าเป็นปีๆ หรือบางทีรอเป็นปีๆ วีซ่าก็ยังไม่ผ่าน เพราะในชุดความคิดของครอบครัว ไม่มีกิจกรรมใดที่แม่หรือเมียจะแยกตัวออกไปทำได้แต่เพียงลำพัง มันต้องไปเป็นชุด เคยเห็นภาพประกอบโฆษณาร้านบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างมั้ย...ชุดครอบครัวนั่นไง ^_^
แล้วจะทำไงไม่ให้พลุ่งพล่าน...สั่งห้ามนกยูงตัวผู้โทรมารายงานความเคลื่อนไหวหรือส่งภาพบรรยากาศใดก็ตามที่ชวนให้ฉันอิจฉาตาร้อน...ก็ทำได้แค่ประชด ถึงห้ามจริงๆ มันก็ยังจะส่งมาให้ฉันดูอยู่ดี พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ จะดับทุกข์ต้องดับที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ปลายเหตุ เพราะฉะนั้นฉันต้องหาต้นเหตุให้เจอ
ฉันวิเคราะห์ต้นเหตุของความพลุ่งพล่านได้ดังนี้
- อยากไปเที่ยวคนเดียว ที่ไม่ได้ไปแบบชุดครอบครัว
- .....
- .....
เอ๊ะ มันก็หาเหตุได้ีเพียงข้อเดียวเท่านั้น ไม่มีข้ออื่น ชัดๆ เป๊ะๆ...พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อหาต้นเหตุแห่งทุกข์ได้แล้ว ก็หาวิธีที่จะดับต้นเหตุแห่งทุกข์นั้นต่อไป
ฉันหาวิธีที่จะเป็นหนทา่งการดับทุกข์ ได้ดังนี้
- ทำใจ
- รอให้ลูกโต เดี๋ยวก็ได้เที่ยวเอง (แต่ตอนนั้นข้อเข่าอาจจะอักเสบจนทำให้เดินป่าปีนเข้าไม่ได้อีกแล้ว)
หรือ...
- หนี แล้วโกหกว่าไปทำงาน ไม่ไปไม่ได้
- ช่างมัน ก็ฉันจะไป บอกไปเลย อย่ามาห้าม
อืมมมมมมมมมมมมมม....เส้นทางนางงามมันไม่ง่ายเลยจริงๆ มีทางแยกให้เลือกเดินตลอด จะทำตัวดีเป็นแม่นางฟ้าหรือชั่วช้าเป็นซาตานดี
แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ฉันเลือกที่จะเป็นแม่นางฟ้าที่แอบมีความคิดเลวชั่วช้าเป็นซาตานอยู่ในหัว เหอๆๆๆๆ แสดงว่าอำนาจฝ่ายดีของฉันยังกดอำนาจฝ่ายต่ำเอาไว้ได้อยู่ ไม่ยอมให้มันลุกขึ้นมากระพือให้ฉันทำในสิ่งที่เรียกว่า "เอาแต่ตัวเอง" ในวันที่ลูกและแม่กำลังต้องการฉันอยู่มากมาย
วันนี้นกอย่างฉันอาจจะยังไม่ได้โบยบิน
แต่น้ำเป็นของปลา ฟ้าเป็นของนกฉันใด
และปีกของฉันยังคง stand by อยู่ใกล้ๆ ไม่ได้หายไปไหน
ใครบอกว่านกยูงมันบินไม่ได้...สักวัน...ฉันจะบินให้ดู!!!!!!
วันนี้มีทริป "บ้านภูพอดี" ที่เขาใหญ่ บ้านพักของพี่ธงชัย ประสงค์สันติ นายจ้างของเรา แต่ฉันไปไม่ได้ T_T มีเพียงตรียูงทองตัวผู้เท่านั้นที่ได้ไปแจม ส่วนตัวเมียอย่างฉันต้องปฏิบัติภารกิจนางงามที่กรุงเทพ ทั้งที่หัวใจอยากโบยบินตามไปด้วยเหลือเกิน
หมายเหตุ...นามปากกาทีมของฉันชื่อ "ตรียูงทอง" มีฉันเป็นนกยูงตัวเีมียแต่เพียงผู้เดียว นอกนั้นตัวผู้หมด
รายการเส้นทางนางงามของฉัน มีดังนี้
- ต่อดอกตั๋วจำนำสร้อยคอทองคำที่ยืมแม่ผัวมา...ฮาาาา
- จ่ายค่าไฟ
- จ่ายค่าโทรศัพท์
- พาแม่ไปทำผม ทำเล็บ
- พาลูกไปซื้อถุงน่อง
- พาลูกไปเรียนพิเศษ
- พาแม่พาลูกไปงานแต่งงานน้องชายตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เพราะเขาจะให้ลูกสาวฉันถือหมอน (12ขวบเอง
นะ...จะดีเหรอออออ)
- ทำ Proposal งานพ่องานแม่ส่ง organizer คู่เวรคู่กรรม
- ทำ Plot ละครเทวดา...สาธุตอนใหม่สำหรับน้องซาร่า
- เขียนนิยายตอนแรกให้ได้ทีเหอะ
- อัพบล็อคตัวเอง หุหุหุ ^_-
เลยต้องยอมพับปีกตัวเองไว้ชั่วคราว ไว้มีโอกาสค่อยหยิบมาสวมแล้วกระพือออกไปอีกครั้ง แต่คงต้องขอวีซ่าอนุญาตให้ออกนอกประเทศที่เรียกว่า "บ้าน"จากลูกและสามีล่วงหน้าเป็นปีๆ หรือบางทีรอเป็นปีๆ วีซ่าก็ยังไม่ผ่าน เพราะในชุดความคิดของครอบครัว ไม่มีกิจกรรมใดที่แม่หรือเมียจะแยกตัวออกไปทำได้แต่เพียงลำพัง มันต้องไปเป็นชุด เคยเห็นภาพประกอบโฆษณาร้านบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างมั้ย...ชุดครอบครัวนั่นไง ^_^
แล้วจะทำไงไม่ให้พลุ่งพล่าน...สั่งห้ามนกยูงตัวผู้โทรมารายงานความเคลื่อนไหวหรือส่งภาพบรรยากาศใดก็ตามที่ชวนให้ฉันอิจฉาตาร้อน...ก็ทำได้แค่ประชด ถึงห้ามจริงๆ มันก็ยังจะส่งมาให้ฉันดูอยู่ดี พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ จะดับทุกข์ต้องดับที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ปลายเหตุ เพราะฉะนั้นฉันต้องหาต้นเหตุให้เจอ
ฉันวิเคราะห์ต้นเหตุของความพลุ่งพล่านได้ดังนี้
- อยากไปเที่ยวคนเดียว ที่ไม่ได้ไปแบบชุดครอบครัว
- .....
- .....
เอ๊ะ มันก็หาเหตุได้ีเพียงข้อเดียวเท่านั้น ไม่มีข้ออื่น ชัดๆ เป๊ะๆ...พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อหาต้นเหตุแห่งทุกข์ได้แล้ว ก็หาวิธีที่จะดับต้นเหตุแห่งทุกข์นั้นต่อไป
ฉันหาวิธีที่จะเป็นหนทา่งการดับทุกข์ ได้ดังนี้
- ทำใจ
- รอให้ลูกโต เดี๋ยวก็ได้เที่ยวเอง (แต่ตอนนั้นข้อเข่าอาจจะอักเสบจนทำให้เดินป่าปีนเข้าไม่ได้อีกแล้ว)
หรือ...
- หนี แล้วโกหกว่าไปทำงาน ไม่ไปไม่ได้
- ช่างมัน ก็ฉันจะไป บอกไปเลย อย่ามาห้าม
อืมมมมมมมมมมมมมม....เส้นทางนางงามมันไม่ง่ายเลยจริงๆ มีทางแยกให้เลือกเดินตลอด จะทำตัวดีเป็นแม่นางฟ้าหรือชั่วช้าเป็นซาตานดี
แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ฉันเลือกที่จะเป็นแม่นางฟ้าที่แอบมีความคิดเลวชั่วช้าเป็นซาตานอยู่ในหัว เหอๆๆๆๆ แสดงว่าอำนาจฝ่ายดีของฉันยังกดอำนาจฝ่ายต่ำเอาไว้ได้อยู่ ไม่ยอมให้มันลุกขึ้นมากระพือให้ฉันทำในสิ่งที่เรียกว่า "เอาแต่ตัวเอง" ในวันที่ลูกและแม่กำลังต้องการฉันอยู่มากมาย
วันนี้นกอย่างฉันอาจจะยังไม่ได้โบยบิน
แต่น้ำเป็นของปลา ฟ้าเป็นของนกฉันใด
และปีกของฉันยังคง stand by อยู่ใกล้ๆ ไม่ได้หายไปไหน
ใครบอกว่านกยูงมันบินไม่ได้...สักวัน...ฉันจะบินให้ดู!!!!!!
วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันที่ขี่ไม้กวาดไปหาแรงบันดาลใจที่ฮอกวอตส์
อังคารที่ 30 พฤศจิกายน 2553
ทั้งๆที่มีงานบทรอให้เขียนเพื่อส่งก่อนไปประชุมพรุ่งนี้เช้า แต่ฉันก็ยังอ้อยอิ่ง เรื่อยเปื่อย ไม่คิดจะเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อลงมือทำ จริงๆแล้วคิิด แต่อำนาจฝ่ายต่ำเป็นฝ่ายชนะทุกครั้ง ทำให้ฉันตัดสินใจลุยเดี่ยวมุ่งหน้าสู่ "ฮอกวอตส์" ทันที ด้วยข้ออ้างซ้ำซาก...ฉันต้องการแรงบันดาลใจ
"ต๊าย...hot นะยะ ช่วงนี้มีแต่คนต้องการตัวหล่อนทั่วบ้านทั่วเมือง โดยเฉพาะอาชีพเดียวกบฉันเนี่ย นังแรงบันดาลใจ"...สงสัยอยู่กับอารมณ์มนุษย์มากเกินไป ต่อมริษยาเลย sensitive
ฉันตีตั๋วหนัง (ใช้คำโบราณได้อีก) หนึ่งใบที่เก้าอี้ดำแหน่งเดิมเกือบทุกครั้งที่เข้าโรงหนัง...D1...เฉยๆนะไม่ใช่ D1 ประเภท1 สำหรับ "Harry Potter" กับเครื่องรางยมทูต ภาค1 หนังที่ฉันรอคอย อยากจะทำเก๋เป็นแฟนพันธุ์แท้ดูซะตั้งแต่ี่หนังเข้าโรงวันแรก แต่โอกาสไม่อำนวย ต้องไปช่วยราชการทำงานประกวดกะเทยโลกที่พัทยาซะก่อน...อืม...ชีวิตคนเรามักถูกบังคับให้เลือกเสมอ...การเอาใจช่วยพ่อมดหนุ่มน้อยปราบคนที่คุณก็รู้ว่าใคร กับการช่วยสร้างฝันให้กะเทยสากล...ฉันเลือกอย่างหลัง มิใช่เพราะมันดูยิ่งใหญ่แต่เป็นเพราะ...เงินค่าตัวค่า ^O^
หนังตัวอย่างล้วนแล้วแต่เป็น 3D จนนึกเอะใจ แล้วแฮรี่ พอตเตอร์ตูเป็น 3D ด้วยหรือเปล่าหว่า ความ
นอยเริ่มคืบคลานเข้ามาจนกลายเป็นครอบงำฉันโดยสมบูรณ์ เหลียวซ้ายแลขวามองหาแว่นตา 3D ในมือของชาวบ้าน ถ้าคนอื่นมีแสดงว่าฉันพลาดที่ลืมรับมา หรือไม่พนักงานโรงหนังนั่นแหละที่พลาด มันต้องแจกแว่นให้ก่อนเข้าโรงสิฟระ บร๊ะเจ้า!!!! แต่ทำไมฉันไม่มี!!! และเมื่อหนังแฮรี่ พอตเตอร์เริ่มฉาย ฉันก็ค้นพบว่า...ควรจะปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นน้องนอย หนังเขาก็ฉายในระบบปกติ แต่อีนี่...เยอะ!
คร่อก...ใช่ค่ะ ฉันหลับหลังจากฉาก prologue ไม่นาน (อุ๊ย แอบเก๋..จำมาจากพี่วศิน ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้กำกับหนังไปแล้ว ฉันเคยเป็นทีมเขียนบทหนังเรื่อง "คู่แรด" กับเขา เขาเรียกฉากเปิดเรื่องให้น่าสนใจว่า prologue...หนูจำไม่ผิดใช่มั้ยคะพี่???) หลับไปประมาณ 15 นาที เพราะ...เมื่อคืนนอนดึกค่ะ หนังไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้น
หนังดูได้เพลินๆ และเมื่อออกจากโรงหนัง ฉันเกิดการตั้งคำถามว่า "ทำไมฉันจำอะไรเกี่ยวกับหนังไม่ได้เลย???" ตรงกันข้ามกับภาคแรกที่น่าตื่นเต้นไปซะหมด ตั้งแต่ชานชาลาที่ อะไร 1/2 นะ 9 ใช่มั้ย (เริ่มรู้สึกมั้ยคะว่าฉันมีสมองปลาทอง...จำอะไรไม่เคยได้เลย) โรงเรียนฮอกวอตส์ โรงอาหารมหึมาที่อาหารเยอะเว่อร์ บันไดเข้าห้องที่สลับเองไปมา รูปในกรอบหรือในหนังสือพิมพ์ที่เคลื่อนไหวและมีชีวิต ฯลฯ
และฉันก็ได้คำตอบ ว่าเพราะในช่วงเวลานั้นทุกอย่างที่เห็นมันเป็นสิ่งใหม่ เป็นปรากฏการณ์ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เราเลยตื่นเต้นที่จะติดตาม อยากรู้อยากเห็น....เจ เค โรวลิ่งและผู้สร้างหนังทำให้เรากลายเป็นวัยรุ่นได้อีกครั้ง
แต่เมื่อหนังมันเดินทางมาจนถึงเกือบภาคสุดท้าย จนนักแสดงเด็กน้อยกลายเป็นวัยรุ่น ความตื่นเต้นมีน้อยลง เพราะเราไม่ได้ผจญภัยกับความแปลกใหม่อีกแล้ว มันกลายเป็นอารมณ์ที่ deep down ของวัยรุ่นที่กำลังดิ้นรนเอาชนะ "คนที่คุณก็รู้ว่าใคร" ให้ได้อย่างเด็ดขาด...สะท้อนการพยายามประกาศตัวตนของวัยรุ่น ที่มีผู้ใหญ่เป็นศัตรูตัวสำคัญ...โถ!!! ลูก แต่ป้าน่ะ Forever Young นะจ๊ะ เราอยู่ข้างเดียวกัน ^_^
สรุปว่า...มันไม่มีของเล่นให้ฉันรู้สึก ว้าว!!! อีกแล้ว เอ๊ะ เต้นท์ลวงตานี่นับว่าใหม่หรือเปล่านะ ที่ภายนอกดูเล็กและแคบ แต่ภายในช่างโอ่โถง มีห้องเล็กห้องน้อยแถมเล่น step อีกต่างหาก...อืม แต่มันก็ไม่น่าตื่นเต้นอยู่ดี ดูเขาไม่ได้อยากจะเน้นของเล่น เลยไม่ได้ขยี้อุปกรณ์ชนิดนี้ให้เรารู้สึกว้าว!!! เขาให้ตามดูภารกิจของตัวละครเฟ้ยยย!!!
ฉันกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี ดีที่ได้ออกจากบ้าน มาเจอหลายอย่างที่ไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง มีบางอย่างอาจจะเป็นมากกว่าที่เราคาดหวัง และอาจจะมีบางอย่างที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้คาดหวัง ซึ่งทุกอย่างคือประสบการณ์อารมณ์ที่เราคงไม่ได้สัมผัส ถ้าเรานั่งอยู่กับบ้านเฉยๆ
ฉันเริ่มต้นเขียนบทอย่างอารมณ์ดี ดีที่ได้ทำงาน ดีที่ได้สร้างเรื่องราวผ่านตัวละคร เพื่อบอกบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในหัวให้คนอื่นได้สัมผัสด้วยตาู และหวังอยู่ลึกๆว่า...อยากให้ทุกคนได้สัมผัสมันด้วยหัวใจกับสิ่งที่ผลิตจากแรงบันดาลใจ ที่ได้จากการขี่ไม้กวาดไปเยี่ยมโรงเรียนฮอกวอตส์ ^_^
ทั้งๆที่มีงานบทรอให้เขียนเพื่อส่งก่อนไปประชุมพรุ่งนี้เช้า แต่ฉันก็ยังอ้อยอิ่ง เรื่อยเปื่อย ไม่คิดจะเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อลงมือทำ จริงๆแล้วคิิด แต่อำนาจฝ่ายต่ำเป็นฝ่ายชนะทุกครั้ง ทำให้ฉันตัดสินใจลุยเดี่ยวมุ่งหน้าสู่ "ฮอกวอตส์" ทันที ด้วยข้ออ้างซ้ำซาก...ฉันต้องการแรงบันดาลใจ
"ต๊าย...hot นะยะ ช่วงนี้มีแต่คนต้องการตัวหล่อนทั่วบ้านทั่วเมือง โดยเฉพาะอาชีพเดียวกบฉันเนี่ย นังแรงบันดาลใจ"...สงสัยอยู่กับอารมณ์มนุษย์มากเกินไป ต่อมริษยาเลย sensitive
ฉันตีตั๋วหนัง (ใช้คำโบราณได้อีก) หนึ่งใบที่เก้าอี้ดำแหน่งเดิมเกือบทุกครั้งที่เข้าโรงหนัง...D1...เฉยๆนะไม่ใช่ D1 ประเภท1 สำหรับ "Harry Potter" กับเครื่องรางยมทูต ภาค1 หนังที่ฉันรอคอย อยากจะทำเก๋เป็นแฟนพันธุ์แท้ดูซะตั้งแต่ี่หนังเข้าโรงวันแรก แต่โอกาสไม่อำนวย ต้องไปช่วยราชการทำงานประกวดกะเทยโลกที่พัทยาซะก่อน...อืม...ชีวิตคนเรามักถูกบังคับให้เลือกเสมอ...การเอาใจช่วยพ่อมดหนุ่มน้อยปราบคนที่คุณก็รู้ว่าใคร กับการช่วยสร้างฝันให้กะเทยสากล...ฉันเลือกอย่างหลัง มิใช่เพราะมันดูยิ่งใหญ่แต่เป็นเพราะ...เงินค่าตัวค่า ^O^
หนังตัวอย่างล้วนแล้วแต่เป็น 3D จนนึกเอะใจ แล้วแฮรี่ พอตเตอร์ตูเป็น 3D ด้วยหรือเปล่าหว่า ความ
นอยเริ่มคืบคลานเข้ามาจนกลายเป็นครอบงำฉันโดยสมบูรณ์ เหลียวซ้ายแลขวามองหาแว่นตา 3D ในมือของชาวบ้าน ถ้าคนอื่นมีแสดงว่าฉันพลาดที่ลืมรับมา หรือไม่พนักงานโรงหนังนั่นแหละที่พลาด มันต้องแจกแว่นให้ก่อนเข้าโรงสิฟระ บร๊ะเจ้า!!!! แต่ทำไมฉันไม่มี!!! และเมื่อหนังแฮรี่ พอตเตอร์เริ่มฉาย ฉันก็ค้นพบว่า...ควรจะปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นน้องนอย หนังเขาก็ฉายในระบบปกติ แต่อีนี่...เยอะ!
คร่อก...ใช่ค่ะ ฉันหลับหลังจากฉาก prologue ไม่นาน (อุ๊ย แอบเก๋..จำมาจากพี่วศิน ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้กำกับหนังไปแล้ว ฉันเคยเป็นทีมเขียนบทหนังเรื่อง "คู่แรด" กับเขา เขาเรียกฉากเปิดเรื่องให้น่าสนใจว่า prologue...หนูจำไม่ผิดใช่มั้ยคะพี่???) หลับไปประมาณ 15 นาที เพราะ...เมื่อคืนนอนดึกค่ะ หนังไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้น
หนังดูได้เพลินๆ และเมื่อออกจากโรงหนัง ฉันเกิดการตั้งคำถามว่า "ทำไมฉันจำอะไรเกี่ยวกับหนังไม่ได้เลย???" ตรงกันข้ามกับภาคแรกที่น่าตื่นเต้นไปซะหมด ตั้งแต่ชานชาลาที่ อะไร 1/2 นะ 9 ใช่มั้ย (เริ่มรู้สึกมั้ยคะว่าฉันมีสมองปลาทอง...จำอะไรไม่เคยได้เลย) โรงเรียนฮอกวอตส์ โรงอาหารมหึมาที่อาหารเยอะเว่อร์ บันไดเข้าห้องที่สลับเองไปมา รูปในกรอบหรือในหนังสือพิมพ์ที่เคลื่อนไหวและมีชีวิต ฯลฯ
และฉันก็ได้คำตอบ ว่าเพราะในช่วงเวลานั้นทุกอย่างที่เห็นมันเป็นสิ่งใหม่ เป็นปรากฏการณ์ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เราเลยตื่นเต้นที่จะติดตาม อยากรู้อยากเห็น....เจ เค โรวลิ่งและผู้สร้างหนังทำให้เรากลายเป็นวัยรุ่นได้อีกครั้ง
แต่เมื่อหนังมันเดินทางมาจนถึงเกือบภาคสุดท้าย จนนักแสดงเด็กน้อยกลายเป็นวัยรุ่น ความตื่นเต้นมีน้อยลง เพราะเราไม่ได้ผจญภัยกับความแปลกใหม่อีกแล้ว มันกลายเป็นอารมณ์ที่ deep down ของวัยรุ่นที่กำลังดิ้นรนเอาชนะ "คนที่คุณก็รู้ว่าใคร" ให้ได้อย่างเด็ดขาด...สะท้อนการพยายามประกาศตัวตนของวัยรุ่น ที่มีผู้ใหญ่เป็นศัตรูตัวสำคัญ...โถ!!! ลูก แต่ป้าน่ะ Forever Young นะจ๊ะ เราอยู่ข้างเดียวกัน ^_^
สรุปว่า...มันไม่มีของเล่นให้ฉันรู้สึก ว้าว!!! อีกแล้ว เอ๊ะ เต้นท์ลวงตานี่นับว่าใหม่หรือเปล่านะ ที่ภายนอกดูเล็กและแคบ แต่ภายในช่างโอ่โถง มีห้องเล็กห้องน้อยแถมเล่น step อีกต่างหาก...อืม แต่มันก็ไม่น่าตื่นเต้นอยู่ดี ดูเขาไม่ได้อยากจะเน้นของเล่น เลยไม่ได้ขยี้อุปกรณ์ชนิดนี้ให้เรารู้สึกว้าว!!! เขาให้ตามดูภารกิจของตัวละครเฟ้ยยย!!!
ฉันกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี ดีที่ได้ออกจากบ้าน มาเจอหลายอย่างที่ไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง มีบางอย่างอาจจะเป็นมากกว่าที่เราคาดหวัง และอาจจะมีบางอย่างที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้คาดหวัง ซึ่งทุกอย่างคือประสบการณ์อารมณ์ที่เราคงไม่ได้สัมผัส ถ้าเรานั่งอยู่กับบ้านเฉยๆ
ฉันเริ่มต้นเขียนบทอย่างอารมณ์ดี ดีที่ได้ทำงาน ดีที่ได้สร้างเรื่องราวผ่านตัวละคร เพื่อบอกบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในหัวให้คนอื่นได้สัมผัสด้วยตาู และหวังอยู่ลึกๆว่า...อยากให้ทุกคนได้สัมผัสมันด้วยหัวใจกับสิ่งที่ผลิตจากแรงบันดาลใจ ที่ได้จากการขี่ไม้กวาดไปเยี่ยมโรงเรียนฮอกวอตส์ ^_^
วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
วันที่ออกจากบ้านไปหาแรงบันดาลใจ
อาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2553
ออกเดินทางจากบ้านเมื่อเย็นย่ำแล้ว ตั้งใจมากจะไปดูละครเวที "ม้า..แค่อยากเป็นม้า ไม่อยากเป็นคน"ของอาจารย์โยที่ Democrazy Studio ทั้งที่โดยปกติวันเสาร์อาทิตย์ฉันจะไม่รับกิจนิมนต์ แค่ขึ้นต้นนรกก็จะกินหัว ด้วยบังอาจใช้ภาษาของพระ พูดง่ายๆ ไม่ออกไปไหนจากบ้านในวันเสาร์อาทิตย์ถ้าไม่ใช่เรื่องของครอบครัว แต่วันนี้จะเป็นการแสดงรอบสุดท้ายของละครเรื่องนี้...ฉันไม่อยากพลาด เพราะฉันขาดแรงบันดาลใจ
สิ่งแรกที่ไปถึงโรงละคร ไม่ใช่การนั่งอ่านสูจิบัตรละคร หรือพูดคุยกับเพื่อนพ้องน้องพี่ในวงการถึงละครที่กำลังจะเข้าไปดู แต่คือการดูไพ่ยิปซีกับหมออ้อย...คนละครที่มีเซ้นส์พิเศษจนนำมาสู่รายได้พิเศษ เป็นลูกค้าคนแรกของหมอ ทั้งๆที่หมอยังเปิดสำนักไม่เสร็จดีด้วยซ้ำ หรือแรงบันดาลใจฉันจะอยู่ที่คำทำนายของหมอดู ไม่ใช่การเสพย์งานศิลปะ ^_^
คำทำนายของหมออ้อยเป็นดังนี้...
งานที่เผ้ารอคอยด้วยความหวังและมั่นใจว่าต้องได้???...ไม่ได้หรอกค่ะ T_T
งานที่เฝ้ารอคอยที่จะลงมือทำต่อ และอาจจะมีรายได้ที่ดีและเพิ่มมากขึ้น???...ก็ต้องรอหน่อยนะคะ สักสองเดือน...^_T
งานที่อยากทำแต่ไม่ค่อยสร้างรายได้เท่าไหร่???...โอ้ย สบายมาก ทำเลยค่ะ...๑_๑
งานที่ไม่อยากทำเลย แต่เงินดีนะ แต่ไม่อยากทำอ่ะ???...ไม่ทำก็โง่แล้วค่ะ (อันนี้ตีความเอาเอง) มันเป็นงานที่ดีและพี่ก็จะทำได้ีดี และมีเงินเข้า...T_T
ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่หวัง ทำให้ผิดหวัง และเซ็ง หมออ้อยปลอบใจว่า "ทำใจค่ะ" วางเฉย ปรับอารมณ์ให้นิ่ง แล้วทุกอย่างมันก็จะผ่านไปได้ พี่ตายยากค่ะ (อันนี้ก็ตีความเอาเองเหมือนกัน)
ฉันจึงพยายามสะกดจิตตัวเอง ทางที่ดีที่สุดนับจากนี้ไป ทำอะไรลงไปต้องไม่สร้างความหวังที่เข้าข้างตัวเอง ให้คิดซะว่า....เขาเอาก็บุญแล้ว หรือ ไม่เห็นจะแคร์ สมองกูยังคิดออกมาได้เรื่อยๆว่ะ ประมาณนี้ดีกว่าที่จะคิดว่า...งานฉันดี ยังไงเขาก็ต้องชอบ หรือ เขาซื้ออยู่แล้ว เพราะมันคือปรากฏการณ์ คิดไปได้ไงฟระ!!!
ถึงเวลาเข้าไปดูละคร ตั้งแต่ต้นจนจบ สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกคือ ทำไมมันทำให้ฉันรู้สึกเหงาอย่างนี้ โดยเฉพาะคำถามแรกที่ละครถามคนดู "เหนื่อยไหมที่ต้องเป็นในสิ่งที่ไม่อยากเป็น" หรือ "คุณต้องเป็นในสิ่งที่ไม่อยากเป็นมานานแค่ไหนแล้ว" อะไรทำนองนี้แหละ
ผู้กำกับได้แรงบันดาลใจมาจากวรรณคดีพื้นบ้านเรื่อง "แก้วหน้าม้า" แก้วแค่อยากเป็นม้าแบบนี้ ไม่ได้อยากเป็นคนสวย แต่ผัวและลูกกลับยอมรับที่แก้วเป็นคนสวย และจากเรื่อง Hear the Wind Sing ของนักเขียนชาวญีุ่ปุ่น มุราคามิ เมื่ออ่านผลงานของเขาฉันสัมผัสได้ถึงความเหงาและความเปล่าเปลี่ยวของมนุษย์ทั้งๆที่คุณอาจจะอยู่ในสถานที่ที่อึกทึกที่สุดในโลก ละครสร้างบรรยากาศเหงาๆออกมาได้ดี และตอบ Theme ได้ชัดเจนว่า เมื่อต้องเป็นใครที่ไม่ได้อยากเป็น...ทรมานมั้ย ตัวละครบางตัว ไม่มีทางเลือกไหนที่จะดีไปกว่าการ "สร้าง" ให้ตัวเองเป็นแบบนี้ต่อไปดีกว่าจะยอมรับคววามจริง ตัวละครบางตัวเลือกที่จะออกจากสิ่งที่ "สร้าง" เพื่อไปเผชิญกับความเป็นจริง ฉันรู้สึกว่า ไม่ว่าใครจะเลือกสร้างหรือไม่สร้าง แต่ทุกคนเลือกที่อยู่บนจุดของสิ่งที่เรียกว่า "มันทำให้ฉันมีความสุข" แล้วฉันล่ะ ????
ฉันมีทั้งความสุขและความทุกข์กับสิ่งที่ฉันสร้างและไม่ได้สร้าง แจกแจงได้ดังต่อไปนี้...
งาน...ฉันเลือกที่จะไม่เสแสร้งทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน ผลลัพธ์คือ...โคตรสุขเลย แต่ก็โคตรทุกข์เลยเพราะการเงินมันไม่เสถียรสำหรับคนภาระเยอะอย่างฉัน แต่ก็ทุกข์ไม่นานเพราะหาทางออกได้เสมอ จะกลัวอะไรในเมื่อเรามีกัลยาณมิตร (อันนี้ก็คิดเอาเอง ไม่รู้ว่าเพื่อนจะคิดว่าเราเป็นกัลยาด้วยหรือเปล่า หรือจริงๆแล้วมันรำคาญเรามาก เลยช่วยเพื่อตัดความรำคาญ) และการได้ทำงานกรุบกริบ เป็นงานที่จำใจทำ เพื่อเอามาสนับสนุนหนทางแก้ไขความทุกข์อันเกิดจากการทำงานที่รักซึ่งเป็นงานหลัก
เมีย...อันนี้เป็นสิ่งที่ฉันเรียกว่า ผีเข้าผีออก เพราะบางวันฉันก็อยากควบหนีไปให้ไกลสุดขอบโลก บางวันฉันก็อยากได้โล่ห์ ฉันเลยทำหน้าที่ในสถานภาพนี้ได้ชนิดที่เรียกว่าสุดขั้ว...เลวร้ายสุดๆในวันที่ไม่ได้อยากเป็นเมีย และดีโคตรๆในวันที่ฉันเกิดพุทธิปัญญา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แอคชั่นของฉันมันล้วนขึ้นอยู่กับพืนฐานของอารมณ์ที่ว่า...ฉันอยากมีความสุข...เข้าขั้นโรคจิตแล้วใช่มั้ย
แม่...สถานภาพนี้ฉันเต็มใจที่จะเป็นโดยไม่ต้องสร้าง ฉันมีความสุขในทุกขณะจิตที่ได้ดูแลเลือดเนื้อเชื้อไขทั้งสองคน ถึงแม้บางเวลาจะทำให้ฉันน้ำตาเล็ด แต่ก็แอบเช็ดแล้วหันมาหน้าชื่นได้ใหม่ได้เสมอ
ส่วนองค์ประกอบและหน้าที่อื่นๆของชีวิต เช่น การเป็นลูกของแม่ การเป็นเพื่อนของเพื่อน ฯลฯ...ขอไม่พูดถึง เพราะฉันฉันมีความสุขตลอดเวลากับหน้าที่เหล่าันั้น และคิดว่าตัวเองก็หน้าที่ได้ดี โดยไม่ต้องสร้างอะไร
ละครปิดฉากด้วยฉากที่ผ่านการคิดและออกแบบมาแล้วเป็นอย่างดี ต้องรสนิยมฉันเป็นอย่างยิ่ง ตัวละครเข้ามาอยู่ในฉากที่ set ให้เป็นที่นั่งคนดูในโรงละคร ทุกคนลงนั่งประจำที่ หันหน้าออกมาที่คนดู (ตัวจริง) ผู้กำกับแจกหัวม้าให้ทุกคน แล้วไฟก็ค่อยๆดิมขึ้นที่ตำแหน่งที่นั่งคนดู(ตัวจริง) ส่วนที่น่งคนดู (ในฉากละคร) ก็ค่อยๆดิมลง เราจะเห็นว่าตัวละครกำลังจ้องมองดูเราอยู่ เหมือนเราเป็นตัวละครที่โลดแล่นบนเวทีสำหรับเขา จากนั้นเขาก็จะค่อยๆตัดสินใจว่าจะสวมหัวม้าหรือไม่สวม....ฉันชอบฉากนี้ และฉันก็ตัดสินใจว่า เมื่อฉันออกจากโรงละครนี้ไป ฉันจะถือหัวม้าเอาไว้สวมในเวลาที่จำเป็นต้องสวม แล้วจะควบให้ได้ความเร็วและแรงประมาณ 4500 แรงม้า และจะถอดหัวม้าออกกลายเป็นคน ที่ไม่จำเป็นต้องวิ่งเร็ว และแรง แค่เดินไปอย่างช้าๆ ด้วยก้าวที่มั่นคง ยิ้มให้กับทุกคนและทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต...ก็พอ
ท้ายบท :
แต่ฉันต้องวิ่งเพื่อไปให้ทันรถของผู้ชายที่จะจอดแวะรับหน้าปากซอยโรงละคร จนไม่มีเวลาจะยิ้ม พูดคุยร่ำลากับเพื่อนพ้องน้องพี่อย่างที่ตั้งใจไว้....นี่แหละ ความจริงที่เกิดขึ้นมักสวนทางกับสิ่งที่คิดเอาไว้ในหัวอยู่เสมอ
ออกเดินทางจากบ้านเมื่อเย็นย่ำแล้ว ตั้งใจมากจะไปดูละครเวที "ม้า..แค่อยากเป็นม้า ไม่อยากเป็นคน"ของอาจารย์โยที่ Democrazy Studio ทั้งที่โดยปกติวันเสาร์อาทิตย์ฉันจะไม่รับกิจนิมนต์ แค่ขึ้นต้นนรกก็จะกินหัว ด้วยบังอาจใช้ภาษาของพระ พูดง่ายๆ ไม่ออกไปไหนจากบ้านในวันเสาร์อาทิตย์ถ้าไม่ใช่เรื่องของครอบครัว แต่วันนี้จะเป็นการแสดงรอบสุดท้ายของละครเรื่องนี้...ฉันไม่อยากพลาด เพราะฉันขาดแรงบันดาลใจ
สิ่งแรกที่ไปถึงโรงละคร ไม่ใช่การนั่งอ่านสูจิบัตรละคร หรือพูดคุยกับเพื่อนพ้องน้องพี่ในวงการถึงละครที่กำลังจะเข้าไปดู แต่คือการดูไพ่ยิปซีกับหมออ้อย...คนละครที่มีเซ้นส์พิเศษจนนำมาสู่รายได้พิเศษ เป็นลูกค้าคนแรกของหมอ ทั้งๆที่หมอยังเปิดสำนักไม่เสร็จดีด้วยซ้ำ หรือแรงบันดาลใจฉันจะอยู่ที่คำทำนายของหมอดู ไม่ใช่การเสพย์งานศิลปะ ^_^
คำทำนายของหมออ้อยเป็นดังนี้...
งานที่เผ้ารอคอยด้วยความหวังและมั่นใจว่าต้องได้???...ไม่ได้หรอกค่ะ T_T
งานที่เฝ้ารอคอยที่จะลงมือทำต่อ และอาจจะมีรายได้ที่ดีและเพิ่มมากขึ้น???...ก็ต้องรอหน่อยนะคะ สักสองเดือน...^_T
งานที่อยากทำแต่ไม่ค่อยสร้างรายได้เท่าไหร่???...โอ้ย สบายมาก ทำเลยค่ะ...๑_๑
งานที่ไม่อยากทำเลย แต่เงินดีนะ แต่ไม่อยากทำอ่ะ???...ไม่ทำก็โง่แล้วค่ะ (อันนี้ตีความเอาเอง) มันเป็นงานที่ดีและพี่ก็จะทำได้ีดี และมีเงินเข้า...T_T
ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่หวัง ทำให้ผิดหวัง และเซ็ง หมออ้อยปลอบใจว่า "ทำใจค่ะ" วางเฉย ปรับอารมณ์ให้นิ่ง แล้วทุกอย่างมันก็จะผ่านไปได้ พี่ตายยากค่ะ (อันนี้ก็ตีความเอาเองเหมือนกัน)
ฉันจึงพยายามสะกดจิตตัวเอง ทางที่ดีที่สุดนับจากนี้ไป ทำอะไรลงไปต้องไม่สร้างความหวังที่เข้าข้างตัวเอง ให้คิดซะว่า....เขาเอาก็บุญแล้ว หรือ ไม่เห็นจะแคร์ สมองกูยังคิดออกมาได้เรื่อยๆว่ะ ประมาณนี้ดีกว่าที่จะคิดว่า...งานฉันดี ยังไงเขาก็ต้องชอบ หรือ เขาซื้ออยู่แล้ว เพราะมันคือปรากฏการณ์ คิดไปได้ไงฟระ!!!
ถึงเวลาเข้าไปดูละคร ตั้งแต่ต้นจนจบ สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกคือ ทำไมมันทำให้ฉันรู้สึกเหงาอย่างนี้ โดยเฉพาะคำถามแรกที่ละครถามคนดู "เหนื่อยไหมที่ต้องเป็นในสิ่งที่ไม่อยากเป็น" หรือ "คุณต้องเป็นในสิ่งที่ไม่อยากเป็นมานานแค่ไหนแล้ว" อะไรทำนองนี้แหละ
ผู้กำกับได้แรงบันดาลใจมาจากวรรณคดีพื้นบ้านเรื่อง "แก้วหน้าม้า" แก้วแค่อยากเป็นม้าแบบนี้ ไม่ได้อยากเป็นคนสวย แต่ผัวและลูกกลับยอมรับที่แก้วเป็นคนสวย และจากเรื่อง Hear the Wind Sing ของนักเขียนชาวญีุ่ปุ่น มุราคามิ เมื่ออ่านผลงานของเขาฉันสัมผัสได้ถึงความเหงาและความเปล่าเปลี่ยวของมนุษย์ทั้งๆที่คุณอาจจะอยู่ในสถานที่ที่อึกทึกที่สุดในโลก ละครสร้างบรรยากาศเหงาๆออกมาได้ดี และตอบ Theme ได้ชัดเจนว่า เมื่อต้องเป็นใครที่ไม่ได้อยากเป็น...ทรมานมั้ย ตัวละครบางตัว ไม่มีทางเลือกไหนที่จะดีไปกว่าการ "สร้าง" ให้ตัวเองเป็นแบบนี้ต่อไปดีกว่าจะยอมรับคววามจริง ตัวละครบางตัวเลือกที่จะออกจากสิ่งที่ "สร้าง" เพื่อไปเผชิญกับความเป็นจริง ฉันรู้สึกว่า ไม่ว่าใครจะเลือกสร้างหรือไม่สร้าง แต่ทุกคนเลือกที่อยู่บนจุดของสิ่งที่เรียกว่า "มันทำให้ฉันมีความสุข" แล้วฉันล่ะ ????
ฉันมีทั้งความสุขและความทุกข์กับสิ่งที่ฉันสร้างและไม่ได้สร้าง แจกแจงได้ดังต่อไปนี้...
งาน...ฉันเลือกที่จะไม่เสแสร้งทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน ผลลัพธ์คือ...โคตรสุขเลย แต่ก็โคตรทุกข์เลยเพราะการเงินมันไม่เสถียรสำหรับคนภาระเยอะอย่างฉัน แต่ก็ทุกข์ไม่นานเพราะหาทางออกได้เสมอ จะกลัวอะไรในเมื่อเรามีกัลยาณมิตร (อันนี้ก็คิดเอาเอง ไม่รู้ว่าเพื่อนจะคิดว่าเราเป็นกัลยาด้วยหรือเปล่า หรือจริงๆแล้วมันรำคาญเรามาก เลยช่วยเพื่อตัดความรำคาญ) และการได้ทำงานกรุบกริบ เป็นงานที่จำใจทำ เพื่อเอามาสนับสนุนหนทางแก้ไขความทุกข์อันเกิดจากการทำงานที่รักซึ่งเป็นงานหลัก
เมีย...อันนี้เป็นสิ่งที่ฉันเรียกว่า ผีเข้าผีออก เพราะบางวันฉันก็อยากควบหนีไปให้ไกลสุดขอบโลก บางวันฉันก็อยากได้โล่ห์ ฉันเลยทำหน้าที่ในสถานภาพนี้ได้ชนิดที่เรียกว่าสุดขั้ว...เลวร้ายสุดๆในวันที่ไม่ได้อยากเป็นเมีย และดีโคตรๆในวันที่ฉันเกิดพุทธิปัญญา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แอคชั่นของฉันมันล้วนขึ้นอยู่กับพืนฐานของอารมณ์ที่ว่า...ฉันอยากมีความสุข...เข้าขั้นโรคจิตแล้วใช่มั้ย
แม่...สถานภาพนี้ฉันเต็มใจที่จะเป็นโดยไม่ต้องสร้าง ฉันมีความสุขในทุกขณะจิตที่ได้ดูแลเลือดเนื้อเชื้อไขทั้งสองคน ถึงแม้บางเวลาจะทำให้ฉันน้ำตาเล็ด แต่ก็แอบเช็ดแล้วหันมาหน้าชื่นได้ใหม่ได้เสมอ
ส่วนองค์ประกอบและหน้าที่อื่นๆของชีวิต เช่น การเป็นลูกของแม่ การเป็นเพื่อนของเพื่อน ฯลฯ...ขอไม่พูดถึง เพราะฉันฉันมีความสุขตลอดเวลากับหน้าที่เหล่าันั้น และคิดว่าตัวเองก็หน้าที่ได้ดี โดยไม่ต้องสร้างอะไร
ละครปิดฉากด้วยฉากที่ผ่านการคิดและออกแบบมาแล้วเป็นอย่างดี ต้องรสนิยมฉันเป็นอย่างยิ่ง ตัวละครเข้ามาอยู่ในฉากที่ set ให้เป็นที่นั่งคนดูในโรงละคร ทุกคนลงนั่งประจำที่ หันหน้าออกมาที่คนดู (ตัวจริง) ผู้กำกับแจกหัวม้าให้ทุกคน แล้วไฟก็ค่อยๆดิมขึ้นที่ตำแหน่งที่นั่งคนดู(ตัวจริง) ส่วนที่น่งคนดู (ในฉากละคร) ก็ค่อยๆดิมลง เราจะเห็นว่าตัวละครกำลังจ้องมองดูเราอยู่ เหมือนเราเป็นตัวละครที่โลดแล่นบนเวทีสำหรับเขา จากนั้นเขาก็จะค่อยๆตัดสินใจว่าจะสวมหัวม้าหรือไม่สวม....ฉันชอบฉากนี้ และฉันก็ตัดสินใจว่า เมื่อฉันออกจากโรงละครนี้ไป ฉันจะถือหัวม้าเอาไว้สวมในเวลาที่จำเป็นต้องสวม แล้วจะควบให้ได้ความเร็วและแรงประมาณ 4500 แรงม้า และจะถอดหัวม้าออกกลายเป็นคน ที่ไม่จำเป็นต้องวิ่งเร็ว และแรง แค่เดินไปอย่างช้าๆ ด้วยก้าวที่มั่นคง ยิ้มให้กับทุกคนและทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต...ก็พอ
ท้ายบท :
แต่ฉันต้องวิ่งเพื่อไปให้ทันรถของผู้ชายที่จะจอดแวะรับหน้าปากซอยโรงละคร จนไม่มีเวลาจะยิ้ม พูดคุยร่ำลากับเพื่อนพ้องน้องพี่อย่างที่ตั้งใจไว้....นี่แหละ ความจริงที่เกิดขึ้นมักสวนทางกับสิ่งที่คิดเอาไว้ในหัวอยู่เสมอ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)