วันนี้เป็นวันลอยกระทง....ปี 2554
วันที่เท่าไหร่แล้วไม่ได้นับ หลังจากที่หนีน้ำท่วมจากกรุงเทพมาเปิดฐานบัญชาการชีวิตชั่วคราวที่พัทยา เมืองชายทะเลที่โด่งดังติดอันดับโลก แต่เชื่อมั้ยว่าชีวิตวันๆของฉันวนเวียนอยู่แค่...ห้องพัก - Foodland ห้องพัก - โลตัส ห้องพัก - บิ๊กซี ห้องพัก- ร้านกาแฟ ห้องพัก-ร้านส้มตำ ห้องพัก - ฯลฯ ยกเว้น ห้องพัก-ชายทะเล......ที่ยังคงรอคอยให้ฉันทุ่มตัวไปหา ในขณะที่ฉันทำได้แค่เพียงนั่งมอเตอร์ไซค์ผ่านมองมันตาปริบๆ และฝากข้อความถึงมันว่า...รออีกสักพักนะจ๊ะน้องน้ำทะเล
เพราะภาระหน้าที่การงานที่บีบคั้น บีบรัด จนจัดเวลาไปลั้ลลาสร้างสีสันให้ชีวิตไม่ได้ ส่วนคนที่ลั้ลลาได้ตลอดเวลา และทุกวัน คือลูกสาวที่ว่ายน้ำในสระของที่พักจนตัวดำเป็นเหนี่ยง หันไปเห็นทีไร ตกใจทุกที คิดว่าตัวเองได้เสียกับนิโกร ลูกถึงได้เป็นเช่นนี้ ยังมีแก่ใจถาม ว่าเมื่อไหร่จะไปเล่นน้ำทะเล....ยังดำไม่พอกันชิมิ รอสักครู่ จัดให้แน่นอน
คืนนี้เป็นอีกคืนที่โลกภายนอกครึกครื้นด้วยเสียงพลุ และไฟวิบวับประดับท้องฟ้ายามราตรีของเมืองพัทยา นักท่องเที่ยวและคนพื้นที่ร่วมฉลองในวันลอยกระทง.....ดูข่าวในทีวี ถึงแม่คนไทยหลายคนจะยังคงอยู่ในสภาวะประสบภัยจากน้ำ แต่ยังมีใจออกมาขอขมาพระแม่คงคาเท่าที่จะสามารถทำได้ตามกำลัง แต่ที่เห็นเด่นชัด คือทัศนคติของคนส่วนใหญ่ที่คิดว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องขอขมาพระแม่คงคาอย่างแท้จริง
ยามวิกฤติเราถึงจะมีดวงตาที่มองเห็นกันใช่มั้ยว่า....อะไรคือสิ่งที่ควรทำ และอะไรคือสิ่งที่ควรเป็น
ฉันคนหนึ่งล่ะที่ได้เรียนรู้ว่า เมื่อต้องใช้ชีวิตโดยเอามาแค่ที่จำเป็นจริงๆ ฉันหยิบจับอะไรติดตัวมาบ้าง และเมื่อต้องหาซื้อทีหลัง ฉันคิดว่าฉันต้องการอะไรบ้าง เน้น...ที่ต้องการจริงๆ
-คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
-โทรศัพท์มือถือและชาร์จเจอร์
-สมุดจดงาน ปากกา ดินสอ
-เสื้อผ้า (ใส่ทำงาน ใส่นอน) รองเท้าแตะ (เอามาจากบ้าน) รองเท้าใส่ออกงาน 1 คู่ (ซื้อทีหลัง)
-กระติกน้ำร้อนต้มน้ำชงกาแฟ (ซื้อทีหลัง)
-ลูกสาว 2 คน (บวกยาสำหรับโรคประจำตัวของลูกสาว เสื้อผ้าของเขา และผ้าห่มประจำตัว)
-แม่
-รถ 1 คัน
-หนังสือนวนิยายแปล (ซื้อทีหลัง เพียบเลยเพราะโปรโมชั่นเหลือเล่มละร้อยถ้าซื้อสามเล่มขึ้นไป...โอย..ใจสั่น)
.....นอกนั้น....ไม่เอาล่ะค่าาาาาาาา
อืม....ก็ไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ก็เยอะกว่าบางคนที่ออกมาได้โดยมีเสื้อผ้าติดตัวมาแค่ชุดเดียว
กลับมาเหงาอีกครั้ง....ไม่รู้ทำไม มีอะไรให้ทำก็เยอะ มีเรื่องให้คิดก็แยะ มีคนให้ดูแลก็หลาย แต่สุดท้ายก็อดเหงาไม่ได้อยู่ดี เหมือนมีบางอย่างขาดหายไป และไม่เคยมีใครเติมให้เต็มได้สักที....บางทีวันลอยกระทงปีหน้า ฉันอาจจะนั่งเหงาอยู่ที่ไหนสักแห่ง....สถานที่เปลี่ยนไป แต่ความรู้สึกยังเหมือนเดิม
วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554
วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
Keep Walking
วันก่อนได้อ่านลิงก์ที่มีคุณค่าทางจิตใจ ได้อ่านแล้วดีใจ ทำให้กลับไปคิดถึงคำสั่งสอนของครูอีกครั้ง ที่ีผ่านมาทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ยัง "ปักธง" ชีวิตอยู่กับร่องกับรอยที่ครูสอน โดยที่ไม่ได้หลอกตัวเอง
แต่วันนี้...ต้องกลับไปอ่านมันอีกครั้ง เพราะอาการบาดเจ็บ ทำให้เหมือนคนอกหัก รู้สึกสับสนกับความเชื่อมั่นบางอย่างที่ฉันใช้นำทางชีวิต แต่หลังจากที่ได้อ่าน ความเชื่อมั่นก็กลับคืนมา เหมือนได้ไปนั่งฟังครูสอนอีกครั้ง ครูปลอบประโลมให้เราคลายความกังวลใจ และสบายใจ ลุกขึ้นมาตั้งสติใหม่ และเคลียร์ความรู้สึกหม่นหมองออกไป ยังคง "ปักธง" ไว้บนเส้นทางที่ครูสอน ไม่หวั่นไหว ใครไม่ได้มีอุดมการณ์เดียวกัน ก็ปล่อยเขาไป แม้จะเหลือฉันเพียงคนเดียวที่เดินอยู่ ก็ช่างมัน
"มองให้เห็น...ฟังให้ได้ยิน"
(โดย ครูแอ๋ว...อ.อรชุมา ยุทธวงศ์ : ครูสอนการแสดงคนแรกของฉัน ที่เขียนถึงครูใหญ่
อ.สดใส พันธุมโกมล ครูใหญ่ที่ยิ่งใหญ่ของลูกศิษย์ทุกคน : จากหนังสือ "60 ยังแอ๋ว") คัดลอกมาจากลิงก์ของคุณ GPEN ที่พี่สมรักษ์เอามาแชร์ใน facebook...ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
"ครูสอนให้รัก รักชีวิต รักผู้คน ให้ชื่นชมความสำเร็จของผู้อื่น ให้มีศรัทธาต่อเพื่อนมนุษย์ เคารพตัวเอง แต่มีตัวตนน้อยที่สุด
ครูสอนให้บินให้สูง มองให้เห็น ฟังให้ได้ยิน ให้เป็นส่วนหนึ่งของทั้งหมด รับรู้ให้จบสิ้น แล้วปล่อยวาง อยู่เหนือเหตุการณ์ทั้งปวง จึงจะหยั่งรู้ได้ทุกสิ่ง
กล้าพูด กล้าทำ กล้าเผชิญหน้า ครูสอนให้ฝัน ฝันให้ไกล ให้ค้นหาจนกว่าจะพบ ไม่ปิดกั้น ไม่หยุดนิ่ง ไม่แข่งขัน รางวัลอยู่ที่ความ "ใช่" ของผลงาน รับรู้ได้ด้วยตนเอง คำชม ชื่อเสียง เกียรติยศคือผลพลอยได้
ผ่านมา แล้วผ่านไป ไม่ยึดติด ครูสอนว่าชีวิตเริ่มต้นใหม่ทุกวันไป
มีใจให้กับทุกอย่าง ไม่มีงานใหญ่ ไม่มีงานเล็ก ไม่มีคนใหญ่ ไม่มีคนเล็ก ทุกคนคือคน ทุกงานคืองาน มองทุกอย่างที่เข้ามาเหมือนเป็นครั้งแรกที่ได้พบเห็น จึงจะเป็นผู้สร้างอย่างแท้จริง
ในเรื่องของการแสดง ครูสอนและกำกับให้ค้นหาชีวิตของตัวละครจนกว่าจะพบแก่นแท้ อย่ากำหนดให้เป็นไป แต่ให้ตามรู้สิ่งที่เกิดขึ้น ตัวละครจะ "บอก" นักแสดงเอง
เวลาครูกำกับ ครูบอกว่า กลืนลงไปให้หมด ย่อยซะ แล้วขี้ออกมา ที่ครูสอนคือหัวใจของการแสวงหา
ใ้ห้เปิดรับความเป็นไปได้ทั้งหมด อย่าปิดกั้น รับเข้าไว้ในตัว ให้ได้ประโยชน์สูงสุด เลือกทิ้งไป รับไว้แต่สิ่งที่ใช่ การเป็นศิษย์ของครูมีค่ายิ่ง ครูสอนเกี่ยวกับชีวิตและครูให้ชีวิต นี่คือครูของฉัน คุณครูที่อยู่ในใจลูกศิษย์ทุกคน"
นักเรียนกราบ...ขอบคุณค่ะคุณครู ^_____________^
แต่วันนี้...ต้องกลับไปอ่านมันอีกครั้ง เพราะอาการบาดเจ็บ ทำให้เหมือนคนอกหัก รู้สึกสับสนกับความเชื่อมั่นบางอย่างที่ฉันใช้นำทางชีวิต แต่หลังจากที่ได้อ่าน ความเชื่อมั่นก็กลับคืนมา เหมือนได้ไปนั่งฟังครูสอนอีกครั้ง ครูปลอบประโลมให้เราคลายความกังวลใจ และสบายใจ ลุกขึ้นมาตั้งสติใหม่ และเคลียร์ความรู้สึกหม่นหมองออกไป ยังคง "ปักธง" ไว้บนเส้นทางที่ครูสอน ไม่หวั่นไหว ใครไม่ได้มีอุดมการณ์เดียวกัน ก็ปล่อยเขาไป แม้จะเหลือฉันเพียงคนเดียวที่เดินอยู่ ก็ช่างมัน
"มองให้เห็น...ฟังให้ได้ยิน"
(โดย ครูแอ๋ว...อ.อรชุมา ยุทธวงศ์ : ครูสอนการแสดงคนแรกของฉัน ที่เขียนถึงครูใหญ่
อ.สดใส พันธุมโกมล ครูใหญ่ที่ยิ่งใหญ่ของลูกศิษย์ทุกคน : จากหนังสือ "60 ยังแอ๋ว") คัดลอกมาจากลิงก์ของคุณ GPEN ที่พี่สมรักษ์เอามาแชร์ใน facebook...ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
"ครูสอนให้รัก รักชีวิต รักผู้คน ให้ชื่นชมความสำเร็จของผู้อื่น ให้มีศรัทธาต่อเพื่อนมนุษย์ เคารพตัวเอง แต่มีตัวตนน้อยที่สุด
ครูสอนให้บินให้สูง มองให้เห็น ฟังให้ได้ยิน ให้เป็นส่วนหนึ่งของทั้งหมด รับรู้ให้จบสิ้น แล้วปล่อยวาง อยู่เหนือเหตุการณ์ทั้งปวง จึงจะหยั่งรู้ได้ทุกสิ่ง
กล้าพูด กล้าทำ กล้าเผชิญหน้า ครูสอนให้ฝัน ฝันให้ไกล ให้ค้นหาจนกว่าจะพบ ไม่ปิดกั้น ไม่หยุดนิ่ง ไม่แข่งขัน รางวัลอยู่ที่ความ "ใช่" ของผลงาน รับรู้ได้ด้วยตนเอง คำชม ชื่อเสียง เกียรติยศคือผลพลอยได้
ผ่านมา แล้วผ่านไป ไม่ยึดติด ครูสอนว่าชีวิตเริ่มต้นใหม่ทุกวันไป
มีใจให้กับทุกอย่าง ไม่มีงานใหญ่ ไม่มีงานเล็ก ไม่มีคนใหญ่ ไม่มีคนเล็ก ทุกคนคือคน ทุกงานคืองาน มองทุกอย่างที่เข้ามาเหมือนเป็นครั้งแรกที่ได้พบเห็น จึงจะเป็นผู้สร้างอย่างแท้จริง
ในเรื่องของการแสดง ครูสอนและกำกับให้ค้นหาชีวิตของตัวละครจนกว่าจะพบแก่นแท้ อย่ากำหนดให้เป็นไป แต่ให้ตามรู้สิ่งที่เกิดขึ้น ตัวละครจะ "บอก" นักแสดงเอง
เวลาครูกำกับ ครูบอกว่า กลืนลงไปให้หมด ย่อยซะ แล้วขี้ออกมา ที่ครูสอนคือหัวใจของการแสวงหา
ใ้ห้เปิดรับความเป็นไปได้ทั้งหมด อย่าปิดกั้น รับเข้าไว้ในตัว ให้ได้ประโยชน์สูงสุด เลือกทิ้งไป รับไว้แต่สิ่งที่ใช่ การเป็นศิษย์ของครูมีค่ายิ่ง ครูสอนเกี่ยวกับชีวิตและครูให้ชีวิต นี่คือครูของฉัน คุณครูที่อยู่ในใจลูกศิษย์ทุกคน"
นักเรียนกราบ...ขอบคุณค่ะคุณครู ^_____________^
วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554
เพื่อนเก่าที่ยังไม่มีใครแก่
วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน 2554 เวลา 18.00 น.เป็นวันนัดรวมตัวพบปะเด็กอักษรฯ รุ่น 59 ที่ร้านเวณิสวานิช ท่าน้ำมหาราช....ฉันไปร่วมงานด้วยอาการลิงโลดลั๊ลลา สายไปนิดแต่ต่อติดได้ในเวลาไม่นาน
ขำดี เมื่อมองย้อนเวลาไปสมัยเป็นสาวอักษร ฉันเป็นนิสิตที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนนัก ยกเว้นวิชาของศิลปการละครซึ่งฉันเลือกเป็นวิชาเอก และส่วนใหญ่ก็จะมีเรียนในช่วงบ่าย เพื่อนๆจึงไม่ค่อยพบเห็นหน้าค่าตาของฉันในช่วงเช้า รู้สึกว่าตัวเองเป็นนิสิตภาคค่ำยังไงยังงั้น เลยทำให้ไม่ค่อยได้ร่วมกิจกรรมของคณะมากนัก เพราะฉันเอาเวลาส่วนใหญ่ไปทำงานและแรดอยู่ข้างนอก...แต่ฉันยังจำได้ดีช่วงที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตสาวอักษรในปีหนึ่งและปีสอง....ได้ทำ ได้ฮา ได้เสียน้ำตาร่วมกับเพื่อนๆทุกคน
จนทุกคนเรียนจบกันออกมา ต่างเดินทางกันไปตามทางของตัวเอง ผ่านจุดเปลี่ยนมากมาย จากวัยไฟวัยฝันสู่วัยตกตะกอน และมีโอกาสได้มาติดต่อกันอีกครั้ง ผ่าน social network ซึ่งเราหลายคนยกให้เป็นผู้มีพระคุณ เพราะมันทำให้เราหากันจนเจอ
ทุกคนต่างมีหน้าที่การงาน มีตำแหน่งแห่งที่ที่ชัดเจน มั่นคงทั้งทางสังคมและทางใจกันในระดับหนึ่ง ดูมีความเชื่อมั่นและมั่นใจกับชีวิตมากขึ้น นี่คงเป็นฝีมือของคำว่าประสบการณ์ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนไม่เคยเปลี่ยนคือ รอยยิ้มเมื่อแรกพบกันในปี พ.ศ 2534 มาจนถึงวันนี้ 2554 มันยังเหมือนเดิม
และน่าแปลกเพลงที่ฉันเลือกร้องในคืนนี้ ก็เป็นเพลง...เหนื่อยมั้ยดาว...ที่เพื่อนฉันยังจำได้ว่า ฉันเคยร้องเมื่อตอนอยู่ปี 1....เราแลกเปลี่ยน พูดคุย อัพเดทชีวิตกันพอหอปากหอมคอ ที่เหลือปล่อยให้เป็นเวลาของการ แซว..กัด...จิก...หยอก...หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ส่วนฉันคงเป็นตับแข็ง เพราะซดไวน์โฮกๆๆ เหมือนไปตายอดตายอยากจากที่ไหนมา แต่ฉันมักเป็นเช่นนี้เสมอ ในเวลาแห่งความสุขฉันชอบสุขแบบกึ่มๆ มันจะทำให้ฉันสุขมากขึ้น (ห้ามลอกเลียนแบบ ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำ) และทุกคนก็รู้สึกไมต่างกับฉัน ต่างใช้ช่วงเวลานี้บันทึกเสี้ยวหนึ่งของชีวิตเอาไว้อย่างตั้งใจ เมื่อกลับไปมันคือหนึ่งในความทรงจำดีๆที่รอคอยให้เกิดขึ้นอีกหลังจากที่ต้องห่างกันไปอีกวาระ ข้อดีของการจากกันมันคืออย่างนี้นี่เอง....มันทำให้เรามีความหวังและรอคอยที่จะได้เจอกันอีกในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเหมือนในคืนนี้
จนกว่าจะพบกันใหม่ อักษร 59 เรารักทุกคน
ขำดี เมื่อมองย้อนเวลาไปสมัยเป็นสาวอักษร ฉันเป็นนิสิตที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนนัก ยกเว้นวิชาของศิลปการละครซึ่งฉันเลือกเป็นวิชาเอก และส่วนใหญ่ก็จะมีเรียนในช่วงบ่าย เพื่อนๆจึงไม่ค่อยพบเห็นหน้าค่าตาของฉันในช่วงเช้า รู้สึกว่าตัวเองเป็นนิสิตภาคค่ำยังไงยังงั้น เลยทำให้ไม่ค่อยได้ร่วมกิจกรรมของคณะมากนัก เพราะฉันเอาเวลาส่วนใหญ่ไปทำงานและแรดอยู่ข้างนอก...แต่ฉันยังจำได้ดีช่วงที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตสาวอักษรในปีหนึ่งและปีสอง....ได้ทำ ได้ฮา ได้เสียน้ำตาร่วมกับเพื่อนๆทุกคน
จนทุกคนเรียนจบกันออกมา ต่างเดินทางกันไปตามทางของตัวเอง ผ่านจุดเปลี่ยนมากมาย จากวัยไฟวัยฝันสู่วัยตกตะกอน และมีโอกาสได้มาติดต่อกันอีกครั้ง ผ่าน social network ซึ่งเราหลายคนยกให้เป็นผู้มีพระคุณ เพราะมันทำให้เราหากันจนเจอ
ทุกคนต่างมีหน้าที่การงาน มีตำแหน่งแห่งที่ที่ชัดเจน มั่นคงทั้งทางสังคมและทางใจกันในระดับหนึ่ง ดูมีความเชื่อมั่นและมั่นใจกับชีวิตมากขึ้น นี่คงเป็นฝีมือของคำว่าประสบการณ์ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนไม่เคยเปลี่ยนคือ รอยยิ้มเมื่อแรกพบกันในปี พ.ศ 2534 มาจนถึงวันนี้ 2554 มันยังเหมือนเดิม
และน่าแปลกเพลงที่ฉันเลือกร้องในคืนนี้ ก็เป็นเพลง...เหนื่อยมั้ยดาว...ที่เพื่อนฉันยังจำได้ว่า ฉันเคยร้องเมื่อตอนอยู่ปี 1....เราแลกเปลี่ยน พูดคุย อัพเดทชีวิตกันพอหอปากหอมคอ ที่เหลือปล่อยให้เป็นเวลาของการ แซว..กัด...จิก...หยอก...หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ส่วนฉันคงเป็นตับแข็ง เพราะซดไวน์โฮกๆๆ เหมือนไปตายอดตายอยากจากที่ไหนมา แต่ฉันมักเป็นเช่นนี้เสมอ ในเวลาแห่งความสุขฉันชอบสุขแบบกึ่มๆ มันจะทำให้ฉันสุขมากขึ้น (ห้ามลอกเลียนแบบ ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำ) และทุกคนก็รู้สึกไมต่างกับฉัน ต่างใช้ช่วงเวลานี้บันทึกเสี้ยวหนึ่งของชีวิตเอาไว้อย่างตั้งใจ เมื่อกลับไปมันคือหนึ่งในความทรงจำดีๆที่รอคอยให้เกิดขึ้นอีกหลังจากที่ต้องห่างกันไปอีกวาระ ข้อดีของการจากกันมันคืออย่างนี้นี่เอง....มันทำให้เรามีความหวังและรอคอยที่จะได้เจอกันอีกในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเหมือนในคืนนี้
จนกว่าจะพบกันใหม่ อักษร 59 เรารักทุกคน
วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
เทวดากลับสวรรค์
วันนี้ฉันเขียนบทตอนสั่งลาของ sit com เรื่องเทวดา...สาธุ ซึ่งแบ่งกันเีขียนกับน้องที่เป็นทีมเดียวกันคนละครึ่ง...ส่งให้โปรดิวเซอร์....เมื่อกด send เรียบร้อย....ใจฉันหาย
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณสามปีที่แล้ว ฉันเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งในทีมเขียนบทของละคร sit com เรื่องนี้ ทั้งๆที่ฉันยังไม่เคยเขียน sit comมาก่อนเลยในชีวิต ที่ผ่านมาได้แต่เขียนละครยาวและละครซีรีส์จบในตอน แต่ไม่ใช่ sit com...ฉันเต็มใจที่จะเข้าไปร่วมทีม แต่ฉันไม่มั่นใจในฝีมือของตัวเอง
กว่าจะคลอดตอนแรกที่พอจะผ่านด่านโปรดิวเซอร์ไปใช้ในการถ่ายทำได้ ใช้เวลากว่าสามเดือน เป็นสามเดือนที่ฉันไม่้ได้มีรายได้จากที่ไหน เพราะขณะนั้นยังไม่มีละครยาวให้เขียน เทวดา...สาธุจึงเป็นแหล่งรายได้เพียงที่เดียว แต่เป็นสามเดือนที่หากยังไม่มีบทใช้ถ่ายทำ ก็จะยังไม่ได้รับเงินตอบแทน จึงเป็นสามเดือนที่ฉันต้องอดทนรวมถึงทนอด เพื่อพิสูจน์ว่า...มันต้องเขียนได้สิวะ
เพราะฉันต้องปรับ ต้องจูนและต้องเปลี่ยนวิธีคิดเพื่อเป็น "เทวดา...สาธุ" ให้ได้ตามโจทย์ ซึ่งต้องใช้เวลาและต้องให้เวลากับมัน ตอนแรกผ่านด่านโปรดิวเซอร์ไปได้ แต่เมื่อถึงด่านผู้กำกับฯ คอมเม้นต์ที่ได้คือ "ฉันไม่ชอบ บทมันงงๆ"....ก็หนูเขียนแบบงงๆนี่คะป้า แล้วลูกหนูมันจะไม่งงตามแม่มันได้ยังไง
แต่ฉันก็ยังดื้อและด้านอยู่ร่วมทีมต่อไป แก้ใช่มั้ย....ได้....ห้าร่างใช่มั้ย...ไม่มีปัญหา...ประกอบกับภาวะวิกฤติเรตติ้งต่ำ ความกดดันจึงตกอยู่ที่ทีมเขียนบทเป็นด่านแรก มันยิ่งเพิ่มความหนักหนาจนรู้สึกได้ถึงความแสนสาหัสกว่าจะเขียนบทจนสำเร็จได้หนึ่งตอน จนแอบคิดไม่ได้ว่า....คุ้มมั้ยเนี่ย และแอบคิดด้วยว่า จะลาออกดีมั้ยเนี่ย...แม่งยากเหลือเกิน.....แต่ฉันก็ยังอยู่
ฉันรู้ว่าการเขียน sit com ไม่ใช่โปรไฟล์ใหญ่โตสำหรับคนเขียนบทบางคน แต่สำหรับฉัน มันคือพื้นที่ที่ฉันจะได้ทำความดีผ่านสิ่งที่ฉันถนัด ถึงจะยังทำได้ไม่ดี ก็ควรจะทำต่อไปให้มันดี และฉันก็ผ่านพายุไซโคลน ทอร์นาโด ทวิตเตอร์ ไต้ฝุ่นและสารพัดวิกฤติมาได้....ในขณะที่เพื่อนร่วมทีมหลายคนค่อยๆเฟดหายไปด้วยเหตุผลและวาระต่างๆกัน สุดท้ายจากทีมบทอันหนาแน่นถึงหกคนก็เหลือเพียงเดนตายสองคน ที่ยังคงมาประชุม สาดมุขกันอย่างที่เราให้คำจำกัดความว่า "ไม่ระยำทำไม่ได้" ทั้งๆที่มันเป็นละครส่งเสริมคุณธรรมที่มีความดีเป็น Theme....แต่เพราะเรารู้จักความชั่วเราเลยมองเห็นความดีไงคะ คุณผู้ชม....และแล้วก็มาถึงโค้งสุดท้าย ทีมเราก็ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ที่ให้ใจเต็มร้อยเพิ่มมาอีกคน
ช่วงโค้งสุดท้าย เป็นการประชุมที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา พวกเรารู้สึกว่า เรามากันถูกทางสำหรับบทของรายการที่อยู่ในช่วงเวลาโคตรดึกของวันอาทิตย์....เรตติ้งเป็นฉันใด เราไม่ได้สนใจอีกต่อไปแล้ว เงินค่าบทได้แค่ไหน เราก็ไม่ได้เอามาเป็นสาระ ขอแค่นักแสดงสนุกที่ได้เล่น ขอแค่มีสิ่งที่พวกเราอยากขีดเส้นใต้เพื่อบอกคนดูว่า....วันนี้เทวดาจะสอนอะไรให้กับมนุษย์ขี้เหม็นๆ ผ่านสถานการณ์เตี้ยๆ ต่างๆ (เตี้ย เป็นคำเดียวกับคำว่าเหี้ย ที่เราชอบใช้แทนกัน)....คนอื่นคิดยังไง ฉันไม่รู้ แต่ฉันคิดอย่างนี้
ตอนสุดท้าย....มันมาเร็วมาก อาจจะพอได้กลิ่นมาบางๆ แต่ก็เข้าใจ ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เป็นสัจธรรม แต่แค่ใจหายที่กิจวัตรบางอย่างของชีวิตหายไป จากที่เคยไปเที่ยวชุมชนเทวาพิทักษ์ ได้เห็นพฤติกรรมที่น่าปวดหัวของโกตัน เสี่ยกวง เพชร จ๊อด สำรวม....คนที่ไม่เคยเรียนรู้ความผิดพลาด สร้างความวุ่นวายได้ทุกครั้งที่โอกาสอำนวย ได้เห็นความเพี้ยนของพลอยใส...ผู้หญิงสวย ความคิดดีแต่ก็สามารถทำผิดได้ ได้เห็นพัฒนาการของสาวน้อยสำลี...จากเด็กมัธยมต้นเจ้าความคิด ก็เติบโตเป็นสาวน้อยวัยใส ที่คอยปรามผู้ใหญ่วัยทองให้ได้สติ...ได้ขอพรเทวดา...สาธุ และเทวัญ....แรงดลใจ อำนาจฝ่ายดีของมนุษย์ที่น่านับถือ ได้ต้อนรับโมทนา เทวดาท่าจะบ๊องส์ที่เข้ามาสร้างสีสันในการสั่งสอนและแก้เผ็ดมารอย่างภีมะ....มารตัวดำที่น่าเอ็นดูในสายตาของฉัน....มารที่เทวดาไม่เคยกำจัดได้สำเร็จ เหมือนจะบอกกับทุกคนว่า ตราบใดที่มนุษย์ยังมีกิเลส ตราบนั้นภีมะก็จะยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ตัวทุกคน
ฉันกด send ส่งบทตอนสุดท้าย....นั่งมอง email address ของเทวดา...สาธุ ที่ชื่อ tewadasatuee@gmail.com อีกครั้ง...นึกภาวนาถึงเทวดาต้นไทร ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ส่งสา่รถึงเทวดา ขอให้ได้รับรู้ ท่านจะอยู่ในหัวใจของเราตลอดไป เพราะเราเชื่อว่า....เราทุกคนคือเทวดา เทวดา คอยรักษาตัวเอง ไม่ต้องคอยให้ใครเอื้อมมือ ไม่ต้องคอยให้ใครนับถือ ศรัทธาและความดีงามอยู่ในตัวเธอ...สาธุ
วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
เบื่อๆแล้วทำอะไร
มีพี่ที่เคารพถามฉันว่า "เบื่อๆแล้วแกทำอะไรวะ แหม่ม"
แวบแรกของความคิด ฉันถามตัวเองว่า "เคยเบื่อมั้ย" ไม่นะ แต่โคตรเบื่อถึงขั้นเซ็งไปเลยล่ะ สมองรีบประมวลความคิดต่อไป เพื่อตอบคำถาม "ฉันไม่ได้ทำอะไร แต่รีบกำจัดความคิดนั้นทิ้งไป แล้วเดินหน้าอยู่กับสิ่งที่ทำให้ตัวเองเบื่อและเซ็งต่อไปให้ได้ ให้เสร็จ ให้จบ!!!" แต่ฉันไม่ได้ตอบพี่ที่เคารพไปอย่างนั้น
ฉันตอบพี่เขาไปว่า "ไปดูหนังพี่" และ "ขับรถไปไหนก็ได้เรื่อยเปื่อยพี่" และ "นอนพี่"....ฉันไม่ได้พูดโกหก ฉันทำสิ่งเหล่านี้จริงๆ แต่ไม่ได้ทำตอนที่เบื่อ แต่ทำหลังจากที่ผ่านอารมณ์เบื่อมาแล้ว เหมือนกับการปลดปล่อย และให้รางวัลตัวเอง เข้าทำนอง "ซะหน่อย" นี่ถ้าโสดๆ มันคงไม่ใช่แค่การเดินเข้าโรงหนังคนเดียว หรือขับรถไปเที่ยว...แต่คงแบกกระเป๋าสะพายเป้ ออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่งสักพัก แต่บางทีการพูดสิ่งที่ตัวเองคิดไปจริงๆ...อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่เข้าใจ
การแก้ปััญหาและหาทางออกของคน มันไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือทุกคนต้องประสบภาวะเบื่อ เซ็ง ท้อแท้มาด้วยกันทั้งนั้น บางคนก็ก้าวข้ามมาได้แบบสบายๆ เพราะรู้จักวิธีจัดการปัญหาและอารมณ์ตัวเอง บางคนกลับผ่านไปได้อย่างยากลำบาก และบางคนยังหลงเวียนวนอยู่ในนั้น โดยไม่มีทีท่าว่าเมื่อไหร่ถึงจะหายดี
ฉันยังเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ที่บางครั้งก็ตกเป็นเหยื่ออารมณ์ ทำให้ตัวเองจ่อมจม ซึมเศร้า หม่นหมองได้....แต่คงในชั่วเวลาที่ไม่นานนัก เพราะชีวิตประจำวันล้วนมีหน้าที่และความรับผิดชอบรออยู่มากมายก่ายกอง จนแทบไม่เหลือเวลาและพื้นที่ให้ตัวเองได้ดราม่าสักเท่าไหร่ นานๆเข้ามันก็กลายเป็นความเคยชิน อยากจะตอบคำถามพี่ที่เคารพไปว่า "หนูเบื่อไม่ได้พี่" และก็อดพูดกับตัวเองไม่ได้ว่า "เบื่อๆบ้างก็ได้นะ จะได้ไม่ลืม ว่าแกเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เรียกว่าคน"
แวบแรกของความคิด ฉันถามตัวเองว่า "เคยเบื่อมั้ย" ไม่นะ แต่โคตรเบื่อถึงขั้นเซ็งไปเลยล่ะ สมองรีบประมวลความคิดต่อไป เพื่อตอบคำถาม "ฉันไม่ได้ทำอะไร แต่รีบกำจัดความคิดนั้นทิ้งไป แล้วเดินหน้าอยู่กับสิ่งที่ทำให้ตัวเองเบื่อและเซ็งต่อไปให้ได้ ให้เสร็จ ให้จบ!!!" แต่ฉันไม่ได้ตอบพี่ที่เคารพไปอย่างนั้น
ฉันตอบพี่เขาไปว่า "ไปดูหนังพี่" และ "ขับรถไปไหนก็ได้เรื่อยเปื่อยพี่" และ "นอนพี่"....ฉันไม่ได้พูดโกหก ฉันทำสิ่งเหล่านี้จริงๆ แต่ไม่ได้ทำตอนที่เบื่อ แต่ทำหลังจากที่ผ่านอารมณ์เบื่อมาแล้ว เหมือนกับการปลดปล่อย และให้รางวัลตัวเอง เข้าทำนอง "ซะหน่อย" นี่ถ้าโสดๆ มันคงไม่ใช่แค่การเดินเข้าโรงหนังคนเดียว หรือขับรถไปเที่ยว...แต่คงแบกกระเป๋าสะพายเป้ ออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่งสักพัก แต่บางทีการพูดสิ่งที่ตัวเองคิดไปจริงๆ...อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่เข้าใจ
การแก้ปััญหาและหาทางออกของคน มันไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือทุกคนต้องประสบภาวะเบื่อ เซ็ง ท้อแท้มาด้วยกันทั้งนั้น บางคนก็ก้าวข้ามมาได้แบบสบายๆ เพราะรู้จักวิธีจัดการปัญหาและอารมณ์ตัวเอง บางคนกลับผ่านไปได้อย่างยากลำบาก และบางคนยังหลงเวียนวนอยู่ในนั้น โดยไม่มีทีท่าว่าเมื่อไหร่ถึงจะหายดี
ฉันยังเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ที่บางครั้งก็ตกเป็นเหยื่ออารมณ์ ทำให้ตัวเองจ่อมจม ซึมเศร้า หม่นหมองได้....แต่คงในชั่วเวลาที่ไม่นานนัก เพราะชีวิตประจำวันล้วนมีหน้าที่และความรับผิดชอบรออยู่มากมายก่ายกอง จนแทบไม่เหลือเวลาและพื้นที่ให้ตัวเองได้ดราม่าสักเท่าไหร่ นานๆเข้ามันก็กลายเป็นความเคยชิน อยากจะตอบคำถามพี่ที่เคารพไปว่า "หนูเบื่อไม่ได้พี่" และก็อดพูดกับตัวเองไม่ได้ว่า "เบื่อๆบ้างก็ได้นะ จะได้ไม่ลืม ว่าแกเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เรียกว่าคน"
วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
วันแรกก็โดนซะแล้ว
เธอเดินทางฝ่าการจราจรที่ติดขัด ทั้งๆที่สภาพร่างกายยังอิดโรยจากอาการฟื้นไข้ แต่มันไม่มีทางเลือก....เงินค่าจ้างจากการทำงาน...เธอต้องรีบไปเอามันมาเพื่อสำรองไว้ในกระเป๋า ครอบครัวที่ยังต้องเลี้ยงลูกเล็กๆ การไม่มีเงินสำรองไว้ภายในบ้าน มันหมายถึงความสิ้นหวัง และเธอก็เคยสิ้นหวังมานับครั้งไม่ถ้วนจนรู้รสชาติของมันดี และไม่อยากจะลิ้มรสมันอีก
......เธอรีบจัดการแปรสภาพกลายเป็นเงินสด รู้สึกอุ่นใจขึ้นทันทีทันใด ไม่มีอะไรทำให้เธอมั่นคง มั่นใจและปลอดภัยได้เท่ากับมิสเตอร์เอ็มอีกแล้ว (มิสเตอร์เอ็ม= Mister Money) ลืมมิสเตอร์แมนไปได้เลย...เธอรีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านที่เกิดจากอาการน้อยใจใครบางคนที่เธอพยายามจะแทนที่ด้วยอากาศ ก่อนจะเดินดิ่งไปจัดการรับเสื้อนักเรียนลูกที่สั่งปักชื่อเอาไว้ชนิดเร่งด่วน เพราะเปิดเทอมแล้ว และเธอเพิ่งจะมีเวลาเอามามันมาจัดการให้ลูกเมื่อไม่กี่วันมานี้ นี่ก็ด่วนสุดๆแล้วนะ...เจ้าของร้านบอกเธออย่างนั้น ก็จะทำยังไงได้ ในเมื่อทำเองไม่เป็น ก็ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ อย่าให้ต้องปักเสื้อเป็นอีกอย่างหนึ่งเลย เท่านี้ก็เกือบจะคิดว่าตัวเองเป็นมีดแมกไกวเวอร์อยู่รอมร่อแล้ว
รับเสื้อนักเรียนเสร็จก็รีบสับขาประหนึ่งแข่งเดินเ็ร็วไปยังร้านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ "จริง" ที่เธอไม่เคยเชื่อว่ามันจะ "จริง" ต้องมีตุกติกอะไรบนใบแจ้งหนี้บ้างแหละ เพียงแต่เเธอจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน จ่ายหนี้ค่าปัจจัยที่ห้าเรียบร้อย เธอก็รีบใส่เกียร์สูงสุด ทำความเร็วไปที่รถ เพื่อกลับบ้านไปดูแลลูกน้อยหอยสังข์ที่ได้เวลาเลิกเรียนกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว ก็มันปาไปเกือบห้าโมงเย็นแล้วนี่เนาะ.....เธอคิด นักเรียนอนุบาลหนึ่งป้ายแดงจะเป็นไงบ้างน้อ
จอดหน้าบ้านปุ๊บ กระโดดลงจากรถเปิดประตูบ้านปั๊บ กำลังจะเอารถเข้าบ้าน พลางตะโกนถามหาลูกน้อย หวังจะเห็นใบหน้าอ้วนกลม ผูกผมแกละวิ่งเข้ามาจีบปากจีบคอรายงานสถานการณ์ แต่.....ยังกลับมาไม่ถึงบ้านเลย....ยายของลูกน้อยกลายเป็นคนรายงานสถานการณ์แทน...ยายเองก็ร้อนใจ แต่ไม่รู้จะติดต่อหาเธอได้อย่างไร เพราะโทรศัพท์บ้านก็ดันมาเสีย หัวใจเธอหล่นวูบ ร่วงลงมาอยู่ที่ปลายเท้า คิดอะไรไม่ออก วิ่งกลับไปที่รถ เข้าเกียร์ถอยหลัง เหยียบคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว ตะโกนเสียงดังลั่นอยู่ภายในรถ...."ลูกฉันอยู่ไหน!!!!" น้ำตาเอ่อล้นขอบตา ร่วงเผาะๆ หยดน้ำใสๆอุ่นๆคงจะเรียกสติเธอให้กลับคืนมาได้บ้าง เธอรีบกดโทรศัพท์มือถือหาเพื่อนบ้านที่มีลูกกลับรถโรงเรียนคันเดียวกัน
แต่เพื่อนบ้านไม่ได้ดูตระหนกตกใจแต่อย่างใด กลับบอกฉันว่า....เขาคงอาจจะรอกลับพร้อมพี่ประถมมั้งคะ...แมร่งเอ๊ย เอาอะไรคิดแว๊!!!!! (คำสบถนี้เธอพ่นอยู่ในใจ) ช่างเป็นเหตุผลที่ทำให้ใจเย็นขึ้นได้มาก...มันไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เด็กอนุบาลที่เลิกเรียนบ่ายสองสิบห้า แต่จะห้าโมงเย็นแล้วยังไม่ถึงบ้าน ทั้งๆที่บ้านอยู่ที่ห่างจากโรงเรียนไม่ถึงห้ากิโลเมตรโว้ย!!!!....พลันเธอก็คิดได้ เพื่อนบ้านคนนั้นมีเบอร์คนขับรถตู้ เธอสั่งเพื่อนบ้านผู้แสนจะใจเย็นและมีเหตุผลให้โทรเช็คด่วนทันที!!!!
แล้วไม่เกินสิบนาที....ลูกน้อยหอยสังข์ของเธอก็เดินทางถึงบ้าน...ครูให้เหตุผลว่า "ติดประชุมด่วนค่ะ ขอโทษด้วย"....ระเบิดนาปาล์มทำงานทันที ให้ผลทำลายล้างสูงมาก....แล้วทำไมไม่โทรบอกผู้ปกครองสักนิดล่ะคะ!!!!....ครูอึ้ง พูดได้คำเดียวคืิอ ขอโทษจริงๆค่ะ....ความคิดจะเอาลูกน้อยออกจากโรงเรียนนี้เข้ามาในสมองของเธอทันที....แต่ยังก่อน มันยังไม่สะใจ เธอหมายมั่น รอให้ถึงพรุ่งนี้ เธอจะขนระเบิดไปถล่มถึงโรงเรียนอีกลูก....เอาให้ราบเป็นหน้ากลอง ฐานมองไม่เห็นความสำคัญของความรู้สึกพ่อแม่เด็กนักเรียนที่ให้ความเชื่อมั่นเอาลูกมาฝากฝัง ทำไมเธอถึงได้ถูกปฏิบัติด้วยคำว่า "ยังไงก็ได้" อีกแล้ว หลังจากที่ชอกช้ำกับมันมาหลายครั้ง ช่วยไม่ได้ที่ครั้งนี้จะเป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่เธอจะลุกขึ้นมาทวงสิทธิ์ และแสดงออกซึ่งสิทธิ์ของตัวเองที่คนอื่นควรจะให้ความเคารพ....see you tomorrow !!!!
......เธอรีบจัดการแปรสภาพกลายเป็นเงินสด รู้สึกอุ่นใจขึ้นทันทีทันใด ไม่มีอะไรทำให้เธอมั่นคง มั่นใจและปลอดภัยได้เท่ากับมิสเตอร์เอ็มอีกแล้ว (มิสเตอร์เอ็ม= Mister Money) ลืมมิสเตอร์แมนไปได้เลย...เธอรีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านที่เกิดจากอาการน้อยใจใครบางคนที่เธอพยายามจะแทนที่ด้วยอากาศ ก่อนจะเดินดิ่งไปจัดการรับเสื้อนักเรียนลูกที่สั่งปักชื่อเอาไว้ชนิดเร่งด่วน เพราะเปิดเทอมแล้ว และเธอเพิ่งจะมีเวลาเอามามันมาจัดการให้ลูกเมื่อไม่กี่วันมานี้ นี่ก็ด่วนสุดๆแล้วนะ...เจ้าของร้านบอกเธออย่างนั้น ก็จะทำยังไงได้ ในเมื่อทำเองไม่เป็น ก็ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ อย่าให้ต้องปักเสื้อเป็นอีกอย่างหนึ่งเลย เท่านี้ก็เกือบจะคิดว่าตัวเองเป็นมีดแมกไกวเวอร์อยู่รอมร่อแล้ว
รับเสื้อนักเรียนเสร็จก็รีบสับขาประหนึ่งแข่งเดินเ็ร็วไปยังร้านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ "จริง" ที่เธอไม่เคยเชื่อว่ามันจะ "จริง" ต้องมีตุกติกอะไรบนใบแจ้งหนี้บ้างแหละ เพียงแต่เเธอจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน จ่ายหนี้ค่าปัจจัยที่ห้าเรียบร้อย เธอก็รีบใส่เกียร์สูงสุด ทำความเร็วไปที่รถ เพื่อกลับบ้านไปดูแลลูกน้อยหอยสังข์ที่ได้เวลาเลิกเรียนกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว ก็มันปาไปเกือบห้าโมงเย็นแล้วนี่เนาะ.....เธอคิด นักเรียนอนุบาลหนึ่งป้ายแดงจะเป็นไงบ้างน้อ
จอดหน้าบ้านปุ๊บ กระโดดลงจากรถเปิดประตูบ้านปั๊บ กำลังจะเอารถเข้าบ้าน พลางตะโกนถามหาลูกน้อย หวังจะเห็นใบหน้าอ้วนกลม ผูกผมแกละวิ่งเข้ามาจีบปากจีบคอรายงานสถานการณ์ แต่.....ยังกลับมาไม่ถึงบ้านเลย....ยายของลูกน้อยกลายเป็นคนรายงานสถานการณ์แทน...ยายเองก็ร้อนใจ แต่ไม่รู้จะติดต่อหาเธอได้อย่างไร เพราะโทรศัพท์บ้านก็ดันมาเสีย หัวใจเธอหล่นวูบ ร่วงลงมาอยู่ที่ปลายเท้า คิดอะไรไม่ออก วิ่งกลับไปที่รถ เข้าเกียร์ถอยหลัง เหยียบคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว ตะโกนเสียงดังลั่นอยู่ภายในรถ...."ลูกฉันอยู่ไหน!!!!" น้ำตาเอ่อล้นขอบตา ร่วงเผาะๆ หยดน้ำใสๆอุ่นๆคงจะเรียกสติเธอให้กลับคืนมาได้บ้าง เธอรีบกดโทรศัพท์มือถือหาเพื่อนบ้านที่มีลูกกลับรถโรงเรียนคันเดียวกัน
แต่เพื่อนบ้านไม่ได้ดูตระหนกตกใจแต่อย่างใด กลับบอกฉันว่า....เขาคงอาจจะรอกลับพร้อมพี่ประถมมั้งคะ...แมร่งเอ๊ย เอาอะไรคิดแว๊!!!!! (คำสบถนี้เธอพ่นอยู่ในใจ) ช่างเป็นเหตุผลที่ทำให้ใจเย็นขึ้นได้มาก...มันไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เด็กอนุบาลที่เลิกเรียนบ่ายสองสิบห้า แต่จะห้าโมงเย็นแล้วยังไม่ถึงบ้าน ทั้งๆที่บ้านอยู่ที่ห่างจากโรงเรียนไม่ถึงห้ากิโลเมตรโว้ย!!!!....พลันเธอก็คิดได้ เพื่อนบ้านคนนั้นมีเบอร์คนขับรถตู้ เธอสั่งเพื่อนบ้านผู้แสนจะใจเย็นและมีเหตุผลให้โทรเช็คด่วนทันที!!!!
แล้วไม่เกินสิบนาที....ลูกน้อยหอยสังข์ของเธอก็เดินทางถึงบ้าน...ครูให้เหตุผลว่า "ติดประชุมด่วนค่ะ ขอโทษด้วย"....ระเบิดนาปาล์มทำงานทันที ให้ผลทำลายล้างสูงมาก....แล้วทำไมไม่โทรบอกผู้ปกครองสักนิดล่ะคะ!!!!....ครูอึ้ง พูดได้คำเดียวคืิอ ขอโทษจริงๆค่ะ....ความคิดจะเอาลูกน้อยออกจากโรงเรียนนี้เข้ามาในสมองของเธอทันที....แต่ยังก่อน มันยังไม่สะใจ เธอหมายมั่น รอให้ถึงพรุ่งนี้ เธอจะขนระเบิดไปถล่มถึงโรงเรียนอีกลูก....เอาให้ราบเป็นหน้ากลอง ฐานมองไม่เห็นความสำคัญของความรู้สึกพ่อแม่เด็กนักเรียนที่ให้ความเชื่อมั่นเอาลูกมาฝากฝัง ทำไมเธอถึงได้ถูกปฏิบัติด้วยคำว่า "ยังไงก็ได้" อีกแล้ว หลังจากที่ชอกช้ำกับมันมาหลายครั้ง ช่วยไม่ได้ที่ครั้งนี้จะเป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่เธอจะลุกขึ้นมาทวงสิทธิ์ และแสดงออกซึ่งสิทธิ์ของตัวเองที่คนอื่นควรจะให้ความเคารพ....see you tomorrow !!!!
วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
หนูจะไปต่อแถวรถไฟปู๊นๆ
เช้าวันที่สองกับการเริ่มชีวิตนักเรียนอนุบาล 1
เมื่อคืนเพิ่งบอกว่า "หนูไม่ไปโรงเรียน หนูจะอยู่บ้านคนเดียว" แต่เช้านี้อ้วนก็ยอมลุกจากที่นอนและไปอาบน้ำแต่โดยดี เพราะเจอแม่สร้างเรื่องหลอกล่อจนตายใจว่า "ไปเอาชุดพละกับชุดนอนไงลูก ครูยังไม่ไ่ด้ให้หนูมาเลย" เป็นแม่คนจำเป็นต้องมีคุณสมบัติในการสร้างเรื่องเก่งด้วยอีกข้อหนึ่ง แต่ย้อนคิดอีกทีนี่มันดีหรือไม่ดีหว่า...เป็นการโกหกอันชอบธรรมเสียนี่กระไร ฉันทำให้ลูกเรียนรู้ที่จะโกหกแทนที่จะยอมรับความเป็นจริงหรือเปล่า หรือจริงๆแล้วฉันควรบอกลูกไปตรงๆว่าเธอต้องไปโรงเรียน เพราะบลา บลา บลา....หรือว่าฉันคิดมากไปหรือน้อยไป แต่ที่รู้ๆ ฉันไม่ได้หยุดการ "สร้างเรื่อง" เพียงแค่นั้น
"คุณแม่คะ ไปรอน้องข้างนอกนะคะ ให้น้องชินกับการอยู่กับเพื่อนกับครูนะคะ" ครูแหม่ม..ครูประจำชั้นที่มีชื่อเหมือนฉัน(แต่แก่กว่าฉัน...ย้ำ) เข้ามากระซิบ เพราะต้องการให้ลูกปรับตัวได้มากขึ้น เมื่อต้องจากอกพ่ออกแม่มาสู่สังคมใหม่ สังคมที่ลูกจะได้เจอคนอื่น ฉันมองหน้าอ้วนที่นั่งแหมะบนตักฉัน ไม่ยอมไปเล่นกับเพื่อนคนอื่นตั้งแต่มาถึงด้วยความรู้สึก....โถ...ลูก...แต่ฉันก็ต้องยอมทำตามที่คุณครูบอก
จากประสบการณ์ที่ส่งลูกคนแรกเข้าอนุบาลและผ่านมันมาได้ ทำให้ฉัน "เข้มแข็ง" เมื่อต้องส่งต่อลูกคนนี้ให้กับคุณครู ไม่รีรอที่จะทำตามคำขอร้อง ไม่อ้อยอิ่งหอมแก้มลูกฟอดแล้วฟอดเล่าเหมือนอย่างที่เคยทำกับลูกคนแรก ฉันอุ้มอ้วนส่งให้ครูแหม่มแล้วกระซิบว่า "เขาแรงเยอะมากเลยนะคะ" เพราะรู้ฤทธิ์ลูกตัวเองเวลาโกรธดีว่า "ฟาดงวงฟาดงา...แปร๊น!" ขนาดไหน ครูแหม่มยิ้มสู้ ทำให้ฉันรู้สึกว่าเป็นครูสอนนักเรียนอนุบาลต้องมีความอดทน...สุดๆ...อันเป็นคุณสมบัติอีกข้อหนึ่งนอกเหนือจากรักเด็ก แล้วฉันก็บอกลูกว่า "เดี๋ยวแม่ไปตามพี่ออยมาหาหนูนะ"......พี่ออยคือเพื่อนแถวบ้านของอ้วน ซึ่งปีนี้อยู่ชั้นอนุบาล 3 และอยู่โรงเรียนเดียวกัน....อ้วนยอมไปหาครู แต่หันมามองแม่ด้วยสายตาหวาดหวั่นและไม่แน่ใจกับสิ่งที่แม่บอกเขา....ฉันเดินออกมา ส่งสายตาขอโทษลูก....แม่จำเป็น
ฉันรีบดิ่งตรงไปที่รถ ตัดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ คิดในใจ มันก็ต้องแบบนี้แหละ ร้องหาแม่แค่อาทิตย์เดียว เดี๋ยวเดียวก็ลืมเรา แล้วไปสนุกกับเพื่อนกับของเล่นกับกิจกรรม...แต่แค่อาทิตย์เดียวนี่แหละ มันยาวนานเหมือนเป็นปีในความรู้สึกของเรา แต่ยังไงฉันก็ต้อง...ผ่านมันไปให้ได้ เพราะฉันเคยผ่านมันมาแล้ว และฉันก็ทำได้...
ฉันไปนั่งทำงานสองสามชิ้น ก่อนเดินทางไปประชุมงาน โดยไม่คิดถึงหน้าอ้วนอีกเลย มาคิดอีกทีก็ตอนที่ได้เวลารถตู้รับส่งของโรงเรียนต้องมาส่งอ้วนที่บ้าน....หลังจากที่ฉันตัดสินใจหักดิบ ให้ลูกทดลองกลับรถโรงเรียนเลย ทั้งๆที่ตอนแรกตั้งใจจะไปรับส่งก่อน....เรื่องนี้ ฉันไม่ได้สร้างเรื่องโกหกลูก...แต่ไม่ได้บอกอะไรกับลูกเลย...ปล่อยให้ลูกไปเจอเอาดาบหน้า....กลัวเหลือเกิน กลัวว่าลูกจะโกรธ และไม่ไว้ใจ แต่...แม่จำเป็นลูก
ป.ล.
อ้วนลงจากรถโรงเรียน สะพายเป้ข้างหลัง หน้ายิ้ม มาเล่าให้ยายฟังเป็นฉากๆ พูดเร็วปรื๋อจนฟังไม่ทัน แต่จับใจความได้ว่า...อ้วนต่อแถวเป็นรถไฟปู๊นๆ ไปกินข้าวกับแกงจืดวุ้นเส้น มีไส้กรอก กินหมดด้วย แล้วนั่งรถโรงเรียนมาส่งบ้าน มีเพื่อนสองคน เป็นผู้ชายกับผู้หญิง ชื่อเพื่อนๆ มีเพื่อนตัวอ้วนๆปาของ มันนิสัยไม่ดี ครูดุเลย"
เมื่อฉันเจอลูก แล้วถามว่า "ไปโรงเรียนสนุกมั้ยลูก" อ้วนพยักหน้าหงึกๆ "อือ! หนูไปต่อแถวรถไฟปู๊นๆ ไปกินข้าวกับแกงจืดวุ้นเส้น มีไส้กรอก กินหมดด้วย แล้วนั่งรถโรงเรียนมาส่งบ้าน มีเพื่อนสองคน เป็นผู้ชายกับผู้หญิง ชื่อเพื่อนๆ มีเพื่อนตัวอ้วนๆปาของ มันนิสัยไม่ดี ครูดุเลย หนูทาแป้งที่หน้าด้วย แล้วครูก็ให้ต่อแถวรถไฟ ไปขึ้นรถตู้....." ฉันนั่งฟังลูกเล่าเรื่องต่างๆที่ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนฉายหนังวนอย่างไม่นึกเบื่อเลยแม้สักนิด กลับอยากให้เขาเล่าให้ฟังไปเรื่อยๆ และเรื่อยไป
เมื่อคืนเพิ่งบอกว่า "หนูไม่ไปโรงเรียน หนูจะอยู่บ้านคนเดียว" แต่เช้านี้อ้วนก็ยอมลุกจากที่นอนและไปอาบน้ำแต่โดยดี เพราะเจอแม่สร้างเรื่องหลอกล่อจนตายใจว่า "ไปเอาชุดพละกับชุดนอนไงลูก ครูยังไม่ไ่ด้ให้หนูมาเลย" เป็นแม่คนจำเป็นต้องมีคุณสมบัติในการสร้างเรื่องเก่งด้วยอีกข้อหนึ่ง แต่ย้อนคิดอีกทีนี่มันดีหรือไม่ดีหว่า...เป็นการโกหกอันชอบธรรมเสียนี่กระไร ฉันทำให้ลูกเรียนรู้ที่จะโกหกแทนที่จะยอมรับความเป็นจริงหรือเปล่า หรือจริงๆแล้วฉันควรบอกลูกไปตรงๆว่าเธอต้องไปโรงเรียน เพราะบลา บลา บลา....หรือว่าฉันคิดมากไปหรือน้อยไป แต่ที่รู้ๆ ฉันไม่ได้หยุดการ "สร้างเรื่อง" เพียงแค่นั้น
"คุณแม่คะ ไปรอน้องข้างนอกนะคะ ให้น้องชินกับการอยู่กับเพื่อนกับครูนะคะ" ครูแหม่ม..ครูประจำชั้นที่มีชื่อเหมือนฉัน(แต่แก่กว่าฉัน...ย้ำ) เข้ามากระซิบ เพราะต้องการให้ลูกปรับตัวได้มากขึ้น เมื่อต้องจากอกพ่ออกแม่มาสู่สังคมใหม่ สังคมที่ลูกจะได้เจอคนอื่น ฉันมองหน้าอ้วนที่นั่งแหมะบนตักฉัน ไม่ยอมไปเล่นกับเพื่อนคนอื่นตั้งแต่มาถึงด้วยความรู้สึก....โถ...ลูก...แต่ฉันก็ต้องยอมทำตามที่คุณครูบอก
จากประสบการณ์ที่ส่งลูกคนแรกเข้าอนุบาลและผ่านมันมาได้ ทำให้ฉัน "เข้มแข็ง" เมื่อต้องส่งต่อลูกคนนี้ให้กับคุณครู ไม่รีรอที่จะทำตามคำขอร้อง ไม่อ้อยอิ่งหอมแก้มลูกฟอดแล้วฟอดเล่าเหมือนอย่างที่เคยทำกับลูกคนแรก ฉันอุ้มอ้วนส่งให้ครูแหม่มแล้วกระซิบว่า "เขาแรงเยอะมากเลยนะคะ" เพราะรู้ฤทธิ์ลูกตัวเองเวลาโกรธดีว่า "ฟาดงวงฟาดงา...แปร๊น!" ขนาดไหน ครูแหม่มยิ้มสู้ ทำให้ฉันรู้สึกว่าเป็นครูสอนนักเรียนอนุบาลต้องมีความอดทน...สุดๆ...อันเป็นคุณสมบัติอีกข้อหนึ่งนอกเหนือจากรักเด็ก แล้วฉันก็บอกลูกว่า "เดี๋ยวแม่ไปตามพี่ออยมาหาหนูนะ"......พี่ออยคือเพื่อนแถวบ้านของอ้วน ซึ่งปีนี้อยู่ชั้นอนุบาล 3 และอยู่โรงเรียนเดียวกัน....อ้วนยอมไปหาครู แต่หันมามองแม่ด้วยสายตาหวาดหวั่นและไม่แน่ใจกับสิ่งที่แม่บอกเขา....ฉันเดินออกมา ส่งสายตาขอโทษลูก....แม่จำเป็น
ฉันรีบดิ่งตรงไปที่รถ ตัดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ คิดในใจ มันก็ต้องแบบนี้แหละ ร้องหาแม่แค่อาทิตย์เดียว เดี๋ยวเดียวก็ลืมเรา แล้วไปสนุกกับเพื่อนกับของเล่นกับกิจกรรม...แต่แค่อาทิตย์เดียวนี่แหละ มันยาวนานเหมือนเป็นปีในความรู้สึกของเรา แต่ยังไงฉันก็ต้อง...ผ่านมันไปให้ได้ เพราะฉันเคยผ่านมันมาแล้ว และฉันก็ทำได้...
ฉันไปนั่งทำงานสองสามชิ้น ก่อนเดินทางไปประชุมงาน โดยไม่คิดถึงหน้าอ้วนอีกเลย มาคิดอีกทีก็ตอนที่ได้เวลารถตู้รับส่งของโรงเรียนต้องมาส่งอ้วนที่บ้าน....หลังจากที่ฉันตัดสินใจหักดิบ ให้ลูกทดลองกลับรถโรงเรียนเลย ทั้งๆที่ตอนแรกตั้งใจจะไปรับส่งก่อน....เรื่องนี้ ฉันไม่ได้สร้างเรื่องโกหกลูก...แต่ไม่ได้บอกอะไรกับลูกเลย...ปล่อยให้ลูกไปเจอเอาดาบหน้า....กลัวเหลือเกิน กลัวว่าลูกจะโกรธ และไม่ไว้ใจ แต่...แม่จำเป็นลูก
ป.ล.
อ้วนลงจากรถโรงเรียน สะพายเป้ข้างหลัง หน้ายิ้ม มาเล่าให้ยายฟังเป็นฉากๆ พูดเร็วปรื๋อจนฟังไม่ทัน แต่จับใจความได้ว่า...อ้วนต่อแถวเป็นรถไฟปู๊นๆ ไปกินข้าวกับแกงจืดวุ้นเส้น มีไส้กรอก กินหมดด้วย แล้วนั่งรถโรงเรียนมาส่งบ้าน มีเพื่อนสองคน เป็นผู้ชายกับผู้หญิง ชื่อเพื่อนๆ มีเพื่อนตัวอ้วนๆปาของ มันนิสัยไม่ดี ครูดุเลย"
เมื่อฉันเจอลูก แล้วถามว่า "ไปโรงเรียนสนุกมั้ยลูก" อ้วนพยักหน้าหงึกๆ "อือ! หนูไปต่อแถวรถไฟปู๊นๆ ไปกินข้าวกับแกงจืดวุ้นเส้น มีไส้กรอก กินหมดด้วย แล้วนั่งรถโรงเรียนมาส่งบ้าน มีเพื่อนสองคน เป็นผู้ชายกับผู้หญิง ชื่อเพื่อนๆ มีเพื่อนตัวอ้วนๆปาของ มันนิสัยไม่ดี ครูดุเลย หนูทาแป้งที่หน้าด้วย แล้วครูก็ให้ต่อแถวรถไฟ ไปขึ้นรถตู้....." ฉันนั่งฟังลูกเล่าเรื่องต่างๆที่ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนฉายหนังวนอย่างไม่นึกเบื่อเลยแม้สักนิด กลับอยากให้เขาเล่าให้ฟังไปเรื่อยๆ และเรื่อยไป
วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554
ครั้งหนึ่งในชีวิต
วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2554
ฉันไปประชุมในฐานะ "คนเขียนบท" ของละครเพลงเทิดพระเกียรติในหลวง "ความฝันอันสูงสุด" The Musical for the King ที่มีกรมประชาสัมพันธ์เป็นเจ้าภาพ ดำเนินงานโดยบริษัท Phoenix Agency จำกัด กำกับการแสดงโดย พี่ต้อ มารุต สาโรวาท นำแสดงโดยนักแสดงชั้นนำของเมืองไทย เช่น พอร์ช ศรันย์ จ๊ะ จิตตาภา สุรชัย สมบัติเจริญ ชรัส เฟื่องอารมย์ นึกคิด บุญทอง รุ้งลาวัณย์(หนูหิ่น) เป็นต้น และมีพี่เอ๋ นรินทร ณ บางช้างเป็นผู้ผลิตเพลงและควบคุมการฝึกสอนร้องเพลง วันนี้เป็นวันแรกที่ได้เจอหน้าค่าตาทีมงานทั้งหมดและพูดคุยทำความเข้าใจในตัวเรื่อง ซึ่งพูดถึง ความฝันอันสูงสุดของพ่อที่ต้องการเห็นลูกๆมีความสุขบนวิถีแห่งความพอเพียง และรักสามัคคีกัน
เมื่อลงรายละเอียด ใช้เวลาไปกับการพัฒนาเรื่อง พัฒนาตัวละคร และพัฒนาบทจนจบร่างเกือบสมบูรณ์ ความรู้สึกภายในหัวใจฉันกลับไม่จบ ฉันอาสาทำงานเพิ่มเพื่อขอเดินทางร่วมไปกับทีมโปรดักชั่นในการผลิตละครเพลงเทิดพระเกียรติเรื่องนี้จนถึงวันแสดง ด้วยเหตุผลเดียว...ฉันรักในหลวง
วันที่ 9 มิ.ย 2554 จะเป็นวันที่มีการถ่ายทอดสดละครเพลงเรื่องนี้จากสนามรัชมังคลาภิเษกที่มีคนเข้าชมการแสดงกว่า 70,000 คน ไปทั่วประเทศและที่สำคัญ....ในหลวงจะทอดพระเนตรการถ่ายทอดสดนี้จากจอยักษ์ใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ท่าน้ำศิริราช....ครั้งแรกและอาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตของฉันที่จะมีโอกาสได้ร่วมถ่ายทอดความจงรักภักดีผ่านสายตาของพ่อ
พี่ต้อมารุตพูดกับนักแสดงถึงหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ได้จับใจฉันเหลือเกิน....พ่อไม่ได้สอนให้เราปฏิเสธความเจริญ เพียงแต่จะนำมาใช้อย่างไรโดยไม่ให้เราต้องสูญเสียความเป็นตัวตนที่ดีงาม ใช้อย่างไรให้พอเหมาะพอดี ไม่เกินแต่ก็ไม่ขาด เพื่อให้เรามีความสุขอย่างยั่งยืน ซึ่งนี่คือความฝันอันสูงสุดของพ่อที่ตรากตรำทำงานหนักมาตลอดเวลา ไม่มีวันหยุด ไม่มีเสียงบ่นว่าเหนื่อยให้เราได้ยิน เหงื่อของพ่อที่หยาดหยดแต่พ่อไม่ได้ใส่ใจ กลับลงนั่งบนพื้นพิงล้อรถ กางแผนที่แล้วให้คำแนะนำเพื่อช่วยเหลือลูกๆทุกคนในทุกตารางนิ้วของประเทศนี้ให้อยู่ดีกินดี หลายๆครอบครัวได้พ้นจากสภาพหลังชนฝา จนยิ่งกว่าหมา (อันนี้ฉันเขียนเอง พี่ต้อไม่ได้พูด) พลิกฟื้นจากชีวิตที่ติดลบมามีชีวิตใหม่และร่ำรวยความสุข ...พ่อเหนื่อยมามากเหลือเกิน สมควรเหลือเกินที่คนอายุ 84 ปีที่นอนป่วยอยู่ที่ศิริราชควรที่จะได้พักผ่อน แต่ก็ยังพักไม่ได้ เพราะอะไร...จะให้พ่อมีความสุขได้อย่างไร ในเมื่อทุกวันนี้ลูกๆยังตีกัน...
พี่ต้อพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ขาดห้วงเพราะพยายามข่มอารมณ์ให้เป็นปกติต่อหน้านักแสดงและทีมงานทุกคนที่คงมีความรู้สึกไม่ต่างไปจากพี่ต้อ ทุกคนที่มารวมตัวกัน ณ ตอนนี้ไม่ได้รับงานเพราะมันเป็นอาชีพเพียงอย่างเดียว แต่ทุกคนมาด้วยหัวใจที่อัดแน่นไปด้วยความจงรักภักดี เมื่อนับถอยหลังเวลาสำหรับการซ้อมเหลือไม่มาก ทุกคนกริ่งเกรงว่าจะทำงานกันทันหรือไม่ เพราะขั้นตอนของการผลิตละครเวทีที่เป็นละครเพลงมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ฉันเชื่อในพลังความศรัทธา เมื่อทุกคนมีในหลวงอยู่ในหัวใจ ไม่ว่าจะเจอกับอุปสรรคที่ยากเย็นมากแค่ไหน...ทุกคนจะต้องก้าวข้ามไปได้ในที่สุด
ฉันไม่รู้หรอกว่ามีปัจจัยอะไรที่ทำให้ความฝันอันสูงสุดของพ่อยังไม่เป็นความจริง ฉันไม่รู้หรอกว่าคนไทยทั้งหมดกว่า 60 ล้านคนจะมีพลังแห่งความศรัทธาเหมือนฉันหรือไม่ แต่ฉันรู้ดีว่า....สิ่งที่พ่อสอน สิ่งที่พ่อทำมาตลอดเป็นสิ่งที่ฉันสามารถลงมือปฏิบัติตามได้โดยไม่มีความลังเลสงสัย เพราะพ่อสอนในสิ่งที่เป็นธรรมะ เป็นความจริง พ่อไม่ได้พาพวกเราไปตาย แต่กำลังพาพวกเราไปสู่การมีชีวิตที่ดีและมีความสุข มีแต่พวกหัวใจมืดบอดเท่านั้นที่มองไม่เห็นรอยเท้าพ่อและไม่ได้ยินเสียงของพ่อ
วันนั้นฉันจะร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีกับคนไทยกว่า 70,000 คนจากสนามรัชมังคลาภิเษกและคนไทยทั่วประเทศที่ชมการถ่ายทอดสดทาง สทท.ช่อง11 อย่างสุดเสียง โดยไม่สนใจว่าจะร้องเพี้ยนหรือไม่ เพราะไม่ว่ายังไงมันก็ต้องเพี้ยนอยู่แล้ว คนอย่างฉันแค่หายใจยังเพี้ยน (พี่เอ๋ นรินทรบอกไว้ แต่ฉันขอปฏิเสธ ไม่ใช่แค่ลมหายใจที่เพี้ยน ชีวิตฉันทั้งชีวิตมันก็เพี้ยน) แต่ฉันจะร้องออกมาให้สุดพลัง สุดขอบโลก ให้กึกก้องไปจนถึงโรงพยาบาลศีิริราชโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องขยายเสียง ไม่ต้องพึ่งองค์ประกอบใดๆ มีเพียงหัวใจที่หล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับคนไทยทุกคน หัวใจที่รักพ่อ อยากให้พ่อมีความสุข อยากให้พ่อรับรู้ถึงพลังแห่งความรักความศรัทธาที่คนไทยทุกคนมีต่อพระเจ้าแผ่นดินผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยทิ้งแผนที่ประเทศไทยให้ห่างมือ....King of King...ทรงพระเจริญ
ฉันไปประชุมในฐานะ "คนเขียนบท" ของละครเพลงเทิดพระเกียรติในหลวง "ความฝันอันสูงสุด" The Musical for the King ที่มีกรมประชาสัมพันธ์เป็นเจ้าภาพ ดำเนินงานโดยบริษัท Phoenix Agency จำกัด กำกับการแสดงโดย พี่ต้อ มารุต สาโรวาท นำแสดงโดยนักแสดงชั้นนำของเมืองไทย เช่น พอร์ช ศรันย์ จ๊ะ จิตตาภา สุรชัย สมบัติเจริญ ชรัส เฟื่องอารมย์ นึกคิด บุญทอง รุ้งลาวัณย์(หนูหิ่น) เป็นต้น และมีพี่เอ๋ นรินทร ณ บางช้างเป็นผู้ผลิตเพลงและควบคุมการฝึกสอนร้องเพลง วันนี้เป็นวันแรกที่ได้เจอหน้าค่าตาทีมงานทั้งหมดและพูดคุยทำความเข้าใจในตัวเรื่อง ซึ่งพูดถึง ความฝันอันสูงสุดของพ่อที่ต้องการเห็นลูกๆมีความสุขบนวิถีแห่งความพอเพียง และรักสามัคคีกัน
เมื่อลงรายละเอียด ใช้เวลาไปกับการพัฒนาเรื่อง พัฒนาตัวละคร และพัฒนาบทจนจบร่างเกือบสมบูรณ์ ความรู้สึกภายในหัวใจฉันกลับไม่จบ ฉันอาสาทำงานเพิ่มเพื่อขอเดินทางร่วมไปกับทีมโปรดักชั่นในการผลิตละครเพลงเทิดพระเกียรติเรื่องนี้จนถึงวันแสดง ด้วยเหตุผลเดียว...ฉันรักในหลวง
วันที่ 9 มิ.ย 2554 จะเป็นวันที่มีการถ่ายทอดสดละครเพลงเรื่องนี้จากสนามรัชมังคลาภิเษกที่มีคนเข้าชมการแสดงกว่า 70,000 คน ไปทั่วประเทศและที่สำคัญ....ในหลวงจะทอดพระเนตรการถ่ายทอดสดนี้จากจอยักษ์ใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ท่าน้ำศิริราช....ครั้งแรกและอาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตของฉันที่จะมีโอกาสได้ร่วมถ่ายทอดความจงรักภักดีผ่านสายตาของพ่อ
พี่ต้อมารุตพูดกับนักแสดงถึงหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ได้จับใจฉันเหลือเกิน....พ่อไม่ได้สอนให้เราปฏิเสธความเจริญ เพียงแต่จะนำมาใช้อย่างไรโดยไม่ให้เราต้องสูญเสียความเป็นตัวตนที่ดีงาม ใช้อย่างไรให้พอเหมาะพอดี ไม่เกินแต่ก็ไม่ขาด เพื่อให้เรามีความสุขอย่างยั่งยืน ซึ่งนี่คือความฝันอันสูงสุดของพ่อที่ตรากตรำทำงานหนักมาตลอดเวลา ไม่มีวันหยุด ไม่มีเสียงบ่นว่าเหนื่อยให้เราได้ยิน เหงื่อของพ่อที่หยาดหยดแต่พ่อไม่ได้ใส่ใจ กลับลงนั่งบนพื้นพิงล้อรถ กางแผนที่แล้วให้คำแนะนำเพื่อช่วยเหลือลูกๆทุกคนในทุกตารางนิ้วของประเทศนี้ให้อยู่ดีกินดี หลายๆครอบครัวได้พ้นจากสภาพหลังชนฝา จนยิ่งกว่าหมา (อันนี้ฉันเขียนเอง พี่ต้อไม่ได้พูด) พลิกฟื้นจากชีวิตที่ติดลบมามีชีวิตใหม่และร่ำรวยความสุข ...พ่อเหนื่อยมามากเหลือเกิน สมควรเหลือเกินที่คนอายุ 84 ปีที่นอนป่วยอยู่ที่ศิริราชควรที่จะได้พักผ่อน แต่ก็ยังพักไม่ได้ เพราะอะไร...จะให้พ่อมีความสุขได้อย่างไร ในเมื่อทุกวันนี้ลูกๆยังตีกัน...
พี่ต้อพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ขาดห้วงเพราะพยายามข่มอารมณ์ให้เป็นปกติต่อหน้านักแสดงและทีมงานทุกคนที่คงมีความรู้สึกไม่ต่างไปจากพี่ต้อ ทุกคนที่มารวมตัวกัน ณ ตอนนี้ไม่ได้รับงานเพราะมันเป็นอาชีพเพียงอย่างเดียว แต่ทุกคนมาด้วยหัวใจที่อัดแน่นไปด้วยความจงรักภักดี เมื่อนับถอยหลังเวลาสำหรับการซ้อมเหลือไม่มาก ทุกคนกริ่งเกรงว่าจะทำงานกันทันหรือไม่ เพราะขั้นตอนของการผลิตละครเวทีที่เป็นละครเพลงมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ฉันเชื่อในพลังความศรัทธา เมื่อทุกคนมีในหลวงอยู่ในหัวใจ ไม่ว่าจะเจอกับอุปสรรคที่ยากเย็นมากแค่ไหน...ทุกคนจะต้องก้าวข้ามไปได้ในที่สุด
ฉันไม่รู้หรอกว่ามีปัจจัยอะไรที่ทำให้ความฝันอันสูงสุดของพ่อยังไม่เป็นความจริง ฉันไม่รู้หรอกว่าคนไทยทั้งหมดกว่า 60 ล้านคนจะมีพลังแห่งความศรัทธาเหมือนฉันหรือไม่ แต่ฉันรู้ดีว่า....สิ่งที่พ่อสอน สิ่งที่พ่อทำมาตลอดเป็นสิ่งที่ฉันสามารถลงมือปฏิบัติตามได้โดยไม่มีความลังเลสงสัย เพราะพ่อสอนในสิ่งที่เป็นธรรมะ เป็นความจริง พ่อไม่ได้พาพวกเราไปตาย แต่กำลังพาพวกเราไปสู่การมีชีวิตที่ดีและมีความสุข มีแต่พวกหัวใจมืดบอดเท่านั้นที่มองไม่เห็นรอยเท้าพ่อและไม่ได้ยินเสียงของพ่อ
วันนั้นฉันจะร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีกับคนไทยกว่า 70,000 คนจากสนามรัชมังคลาภิเษกและคนไทยทั่วประเทศที่ชมการถ่ายทอดสดทาง สทท.ช่อง11 อย่างสุดเสียง โดยไม่สนใจว่าจะร้องเพี้ยนหรือไม่ เพราะไม่ว่ายังไงมันก็ต้องเพี้ยนอยู่แล้ว คนอย่างฉันแค่หายใจยังเพี้ยน (พี่เอ๋ นรินทรบอกไว้ แต่ฉันขอปฏิเสธ ไม่ใช่แค่ลมหายใจที่เพี้ยน ชีวิตฉันทั้งชีวิตมันก็เพี้ยน) แต่ฉันจะร้องออกมาให้สุดพลัง สุดขอบโลก ให้กึกก้องไปจนถึงโรงพยาบาลศีิริราชโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องขยายเสียง ไม่ต้องพึ่งองค์ประกอบใดๆ มีเพียงหัวใจที่หล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับคนไทยทุกคน หัวใจที่รักพ่อ อยากให้พ่อมีความสุข อยากให้พ่อรับรู้ถึงพลังแห่งความรักความศรัทธาที่คนไทยทุกคนมีต่อพระเจ้าแผ่นดินผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยทิ้งแผนที่ประเทศไทยให้ห่างมือ....King of King...ทรงพระเจริญ
วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554
วันขวัญกระตุก!!!!
ฉันส่งงานที่ได้รับมอบหมายตามหน้าที่ แต่งานของฉันไม่ใช่งานที่แค่ทำให้เสร็จ แต่มันเป็นงานที่ต้องมีจิตวิญญาณอยู่ในนั้น ซึ่งงานของฉันชิ้นนี้...ไม่มี เป็นคำวิจารณ์จากเพื่อนร่วมทีมที่รู้สึกว่างานของฉันผิดฟอร์ม...ฉันตกใจ นี่ขนาดแค่ทีมวิจารณ์ แล้วถ้าคนตรวจงานได้อ่านแล้วฉันไม่ต้องลงหลุมเลยหรือไร
ไม่มีอะไรจะน่าสิ้นหวังสำหรับนักเขียนมากไปกว่าคนอ่านไม่รู้สึกถึงวิญญาณและความมีชีวิตเมื่ออ่านจบ....ฉันผิดหวังกับตัวเองและเกิดจินตนาการไปไกล ฉันอาจจะถูกถอดจากงานชิ้นนี้ ยังไม่พอ...ฉันไปไกลกว่านั้น ฉันมาถึงจุดจบของอาชีพนี้แล้วหรือ คิดวนเวียนอยู่ในหัวจนไม่มีสติจะทำอะไรอย่างอื่น ฉันตัดสินใจโทรศัพท์หาบุุคคลดังต่อไปนี้
ที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณ....เขาไม่รับสาย ไม่เป็นไรโทรหาเพื่อนรัก....อืมได้คำปลอบใจและคำด่าในเวลาเดียวกัน จะคิดไปไกลเกินกว่าเหตุมั้ย นี่เป็นเรื่องปกติสำหรับการทำงานที่ย่อมมีทั้งคำเยินยอสรรเสริญและ....การถูกปฏิเสธ แต่ไม่ได้หมายความว่า การถูกวิจารณ์หนึ่งครั้งคือการตัดสินประหารชีวิต อืม...ก็อาจจะจริง เพราะที่ผ่านมา ฉันไม่ค่อยได้เจอปัญหาจากเรื่องงาน (นอกเสียจากว่าไม่มีงานทำกันไปเลย) มีเพียงชีวิตส่วนตัวที่เป็นปัญหา
วางสายจากเพื่อนรัก หาทางออกและวิธีแก้ปัญหาที่ทำให้งานขาดพลัง หนึ่งสองสามสี่ห้าหกวิธี กำลังตั้งสติได้ ที่ปรึกษาทางจติวิญญาณโทรกลับมา แต่ฉันตัดสินใจที่จะไม่ปรึกษาต้องการแก้ปัญหาทางจิตนี้ด้วยตัวเอง...แต่เอาซะหน่อยก็ได้ ฉันยิงคำถามทันที "พี่คะ หนูจะตกงานมั้ยอ่ะ"...อีนี่...ไม่หน่อยแล้วนะ มันแสดงถึงความเยอะชัดๆ
"เพราะสมาธิกระจัดกระจาย ด้วยเรื่องมากมายที่ต้องคิด ต้องสวดมนตร์ทำสมาธิก่อนทำงานและที่สำคัญ ควรนั่งทำงานในที่สงบเงียบ การเลี้ยงลูกไปทำงานไป...งานที่ออกมามันจะไม่ดีหรอก...ทำอย่างนี้แล้วเขาจะชอบงานของเรา"...ถูกใจใช่เลย นี่คือทางสว่างทำให้เกิดปัญญา เหมือนได้เกิดใหม่หลังจากรู้สึกเหมือนตายไปแล้วชั่วระยะหนึ่ง
จากอาการจิตตกพลิกกลับมาเป็นอาการจิตเบิกบาน และบานมากกว่าเดิม ฉันพร้อมตั้งรับคำวิจารณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มและคำพูดสั้นๆว่า....หนูจะสู้ค่ะ....โดยให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ฟูมฟาย จะไม่โยนความผิด จะไม่ ฯลฯ....เห็นมั้ยว่าฉันเป็นนางจินจริงๆ (หมายถึงจินตนาการไปไกลได้เสมอ)
แล้ววันพิพากษาก็มาถึง แต่...มันไม่เลวร้ายอย่างที่คิด แต่...ไม่ได้หมายความว่าคนตรวจงานไม่ได้รู้สึกเหมือนที่เพื่อนร่วมทีมฉันรู้สึก....งานฉันมันไม่มีวิญญาณ แต่วันนี้ฉันมาด้วยจิตเบิกบาน ด้วยรอยยิ้มและคำพูดสั้นๆ...หนูจะสู้ค่ะพี่....เพราะหัวใจฉันเปิดรับและตั้งใจรับกับสถานกรณ์เอาไว้แล้ว ฉันจึงไม่เกิดอาการปลาช็อคน้ำเย็นเหมือนก่อนหน้านี้ ฉันรับฟังคำวิจารณ์ด้วยใจสงบ และตื่นตัวที่จะรับฟัง จดบันทึกไว้ในสมองว่านี่คือบทเรียนสำคัญของชีวิต ที่ถูกกระตุกให้หันกลับมามองตัวเอง และฉันก็ได้เห็นว่าตัวเองกำลังทำทุกอย่างด้วยอาการหลังพิงเชือกชกไปวันๆ ควรจะลุกขึ้นมาขยันเต้นฟุตเวิร์คบ้างไรบ้าง ก่อนจะถูกน็อคร่วงลงสลบคาพื้นเวทีโดยที่ยังไม่หมดยก
ป.ล พี่สาวคนงามบอกว่า...ชีิวิตจริงอย่าไปเยอะกับมัน...น้อยๆ...แต่ให้มาเยอะกับงานแทนดีกว่านะ...ฉันรู้แล้วล่ะว่าจะแต่งตั้งใครเป็นที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณนัมเบอร์ทู หุหุหุ
ไม่มีอะไรจะน่าสิ้นหวังสำหรับนักเขียนมากไปกว่าคนอ่านไม่รู้สึกถึงวิญญาณและความมีชีวิตเมื่ออ่านจบ....ฉันผิดหวังกับตัวเองและเกิดจินตนาการไปไกล ฉันอาจจะถูกถอดจากงานชิ้นนี้ ยังไม่พอ...ฉันไปไกลกว่านั้น ฉันมาถึงจุดจบของอาชีพนี้แล้วหรือ คิดวนเวียนอยู่ในหัวจนไม่มีสติจะทำอะไรอย่างอื่น ฉันตัดสินใจโทรศัพท์หาบุุคคลดังต่อไปนี้
ที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณ....เขาไม่รับสาย ไม่เป็นไรโทรหาเพื่อนรัก....อืมได้คำปลอบใจและคำด่าในเวลาเดียวกัน จะคิดไปไกลเกินกว่าเหตุมั้ย นี่เป็นเรื่องปกติสำหรับการทำงานที่ย่อมมีทั้งคำเยินยอสรรเสริญและ....การถูกปฏิเสธ แต่ไม่ได้หมายความว่า การถูกวิจารณ์หนึ่งครั้งคือการตัดสินประหารชีวิต อืม...ก็อาจจะจริง เพราะที่ผ่านมา ฉันไม่ค่อยได้เจอปัญหาจากเรื่องงาน (นอกเสียจากว่าไม่มีงานทำกันไปเลย) มีเพียงชีวิตส่วนตัวที่เป็นปัญหา
วางสายจากเพื่อนรัก หาทางออกและวิธีแก้ปัญหาที่ทำให้งานขาดพลัง หนึ่งสองสามสี่ห้าหกวิธี กำลังตั้งสติได้ ที่ปรึกษาทางจติวิญญาณโทรกลับมา แต่ฉันตัดสินใจที่จะไม่ปรึกษาต้องการแก้ปัญหาทางจิตนี้ด้วยตัวเอง...แต่เอาซะหน่อยก็ได้ ฉันยิงคำถามทันที "พี่คะ หนูจะตกงานมั้ยอ่ะ"...อีนี่...ไม่หน่อยแล้วนะ มันแสดงถึงความเยอะชัดๆ
"เพราะสมาธิกระจัดกระจาย ด้วยเรื่องมากมายที่ต้องคิด ต้องสวดมนตร์ทำสมาธิก่อนทำงานและที่สำคัญ ควรนั่งทำงานในที่สงบเงียบ การเลี้ยงลูกไปทำงานไป...งานที่ออกมามันจะไม่ดีหรอก...ทำอย่างนี้แล้วเขาจะชอบงานของเรา"...ถูกใจใช่เลย นี่คือทางสว่างทำให้เกิดปัญญา เหมือนได้เกิดใหม่หลังจากรู้สึกเหมือนตายไปแล้วชั่วระยะหนึ่ง
จากอาการจิตตกพลิกกลับมาเป็นอาการจิตเบิกบาน และบานมากกว่าเดิม ฉันพร้อมตั้งรับคำวิจารณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มและคำพูดสั้นๆว่า....หนูจะสู้ค่ะ....โดยให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ฟูมฟาย จะไม่โยนความผิด จะไม่ ฯลฯ....เห็นมั้ยว่าฉันเป็นนางจินจริงๆ (หมายถึงจินตนาการไปไกลได้เสมอ)
แล้ววันพิพากษาก็มาถึง แต่...มันไม่เลวร้ายอย่างที่คิด แต่...ไม่ได้หมายความว่าคนตรวจงานไม่ได้รู้สึกเหมือนที่เพื่อนร่วมทีมฉันรู้สึก....งานฉันมันไม่มีวิญญาณ แต่วันนี้ฉันมาด้วยจิตเบิกบาน ด้วยรอยยิ้มและคำพูดสั้นๆ...หนูจะสู้ค่ะพี่....เพราะหัวใจฉันเปิดรับและตั้งใจรับกับสถานกรณ์เอาไว้แล้ว ฉันจึงไม่เกิดอาการปลาช็อคน้ำเย็นเหมือนก่อนหน้านี้ ฉันรับฟังคำวิจารณ์ด้วยใจสงบ และตื่นตัวที่จะรับฟัง จดบันทึกไว้ในสมองว่านี่คือบทเรียนสำคัญของชีวิต ที่ถูกกระตุกให้หันกลับมามองตัวเอง และฉันก็ได้เห็นว่าตัวเองกำลังทำทุกอย่างด้วยอาการหลังพิงเชือกชกไปวันๆ ควรจะลุกขึ้นมาขยันเต้นฟุตเวิร์คบ้างไรบ้าง ก่อนจะถูกน็อคร่วงลงสลบคาพื้นเวทีโดยที่ยังไม่หมดยก
ป.ล พี่สาวคนงามบอกว่า...ชีิวิตจริงอย่าไปเยอะกับมัน...น้อยๆ...แต่ให้มาเยอะกับงานแทนดีกว่านะ...ฉันรู้แล้วล่ะว่าจะแต่งตั้งใครเป็นที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณนัมเบอร์ทู หุหุหุ
วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
สิ่งที่ยังหลงเหลือเมื่อผ่านกาลเวลา
ฉันเดินทางไปจังหวัดอยุธยากรุงเก่าของเราแต่ก่อน คิดถึงเนื้อเพลงที่ครูเคยสอนตอนเด็กๆ ยังจำเนื้อร้องได้ถึงตอนจบ แต่ยังคงร้องเพี้ยนเหมือนเดิม กาลเวลาไม่ได้ทำให้ฉันร้องเพลงดีขึ้น แต่ทำให้ฉันเรียนรู้ว่า ควรไปคาราโอเกะให้บ่อยขึ้น...จะฮาไปไหน เข้าเรื่องดีกว่า ทริปนี้เราสามคนแม่ลูกทำตัวเป็นกาฝากขอติดสอยห้อยตามพ่อของลูกที่ต้องไปทำงานเป็นคอมเม้นเตเตอร์ของการประกวดวงดนตรีซึ่งเป็นไฮไลท์หนึ่งของงานประจำจังหวัด แต่คนส่วนใหญ่ของจังหวัดไปงานโต๊ะจีนที่จัดโดยกลุ่มคนเสื้อแดง...ฮาอีกแล้ว
วัดมหาธาตุเป็นสถานที่แรกที่ฉันพาลูกไปสัมผัส ลูกสาวคนโตดูสนใจจริงจัง ขอเดินไปทางนั้นทางนี้ ในขณะที่ฉันต้อง "อุ้ม" ลูกสาวคนเล็กที่ตัวไม่เล็กเดินดูภายในบริเวณโบราณสถานแห่งนี้เพราะกลัวพระไม่มีเศียรจนทำให้ไม่กล้าเดิน ทำให้ความพยายามที่จะดื่มด่ำกับร่องรอยประวัติศาสตร์ของฉันต้องปิดฉากลงในเวลาอันสั้น มองกลับไปยังจุดที่จากมา ก็ต้องถอนใจเฮือก เกือบหนึ่งกิโลเมตรที่ต้องแบกก้อนเนื้อน้ำหนักยี่สิบสองกิโลกรัม ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เป็นบทเรียนราคาแพง รู้สึกเจ็บใจตัวเอง....ทำไมไม่เอารถเข็นเด็กติดมาด้วย!!!! รถตุ๊กๆหน้าวัดคือคำตอบสุดท้าย
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันต้องแบกลูกสาวคนเล็กเพราะไม่มีรถเข็น ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลืมคิดไปว่าจริงๆแล้วเขาไม่ใช่เด็กโตที่จะเดินเป็นกิโลๆได้ เขาโตแต่ตัวเท่านั้น แต่ทำไมไม่รู้จักจำ...มนุษย์ไม่เคยเรียนรู้จากความผิดพลาด...ท่าจะเป็นความจริง นึกเปรียบเทียบกับสภาพผุพังของเหล่ากำแพง โบสถ์ วิหาร ปราสาทภายในบริเวณเมืองเก่าเหล่านี้ ก็เป็นความจริงเช่นเดียวกัน เมืองทองของเหล่าพี่น้องเผ่าพงศ์ไทยต้องพังพินาศด้วยเปลวไฟจากสงคราม จนเกินจะบูรณะซ่อมแซม สร้างใหม่ง่ายกว่า จึงได้เกิดกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์สืบเนื่องต่อมา....ทุกคนเจ็บปวดกับการสูญเสีย และเข็ดขยาดกับสงคราม ไม่มีใครอยากเห็นสงคราม แต่ทำไมดูเหมือนว่าจะยังคงมีคนอยากให้เกิดสงคราม หรือไม่ก็กำลังทำสงครามกันอยู่แต่เป็นสงครามที่ไม่ได้มีรูปแบบเป็นกองทัพที่ประหัตประหารกันด้วยอาวุธ แต่เป็นสงครามที่มาในรูปแบบต่างๆทั้งชนิดเหนือเมฆที่เราคาดไม่ถึงและชนิดบ้านๆที่เด็กสามขวบก็ยังดูออก รู้ทั้งรู้ว่าสงครามมีแต่สร้างความสูญเสีย แต่ยังจะทำให้มันเกิด หรือมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เสพย์ติดความเจ็บปวด เป็นมาโซคิสม์และซาดิสม์ในคราวเดียวกัน
วันนี้มาแนวค่อนข้างจริงจังเพราะเป็นประเด็นที่ฉันไม่เข้าใจ แต่ยังอยากจะเข้าใจ แต่อาจจะไม่ยอมรับ เพราะฉันเชื่อเสมอว่า ชีวิตคนมันสั้นนัก จักสร้างความดีและประโยชน์ให้แก่กันไม่ดีกว่าหรือ จะเอาอะไรใส่ตัวไปนักหนา เกิดมาอย่างไร เมื่อถึงคราวตายก็ไปเท่านั้น ดูในรูปที่ถ่ายมาเป็นตัวอย่าง เหลือเพียงซากปรักหักพังผ่านกาลเวลา ไม่เห็นมีทรราชย์คนใดอยู่ยั้งยืนยงมาสั่งการใดๆในปี 2011 สักคน
ป.ล. ตอนนี้ขาข้างหนึ่งได้ยื่นเข้าไปอยู่ในทัณฑสถานหญิงเรียบร้อยแล้ว....ขอข้าวผัดและอเมริกาโน่ร้อนนะ...ฮามั้ยเนี่ย
วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
วันแห่งความรัก...ตัวเอง
14 กุมภาพันธ์ 2554
วันแห่งความรัก วาระพิเศษที่ทำให้หลายคู่ชวนกันไปเดทหวาน หรือคนไม่มีคู่ก็ถือโอกาสทำให้วันนี้เป็นวันแห่งการให้ นัยว่าอาจจะเกื้อหนุนนำให้เจอเนื้อคู่ที่ยังไม่รู้ว่าใครเร็วๆ หรือที่ยังไม่เกิดก็ขอให้รีบปฏิสนธิ มันเป็นวันที่มองไปทางไหนก็เห็นดอกกุหลาบบาน กระดาษห่อของขวัญรูปหัวใจ และคำอวยพรที่มีความรักเป็นนางเอก อืม...ภาพรวมโดยทั่วไป ทุกคนเลือกที่จะทำให้ตัวเองหัวใจเบิกบาน ส่วนฉันก็เลือกเหมือนกัน เลือกที่จะไม่หวานกับคนรัก เพราะฉันเป็นคนเปรี้ยวติดขม หวานไม่เป็น แต่ไปเบิกบานกับ...ละครเวที....ช่อมาลีรำลึก
"เรื่องราวของสาวใหญ่วัยหมดแรงแต่อยากลอง feel อีกสักครั้งหลังจากมีชีวิตที่ไม่ได้ใช้มานาน ความแรงที่ซ่อนเร้นกำลังจะพาช่อมาลีออกไปจากกรงขังใจ แต่กว่าเจ๊แกจะยอมแรง มันต้องผ่านประตูกลกี่บานก็ห่ได้เดาออกไม่ มาร่วมเดินทางไปกับช่อมาลีที่จะพาเราไปเที่ยวไกลๆ...ไปโดดลงทะเลที่มันลึกลงไปชั่วนิรันดร์กัน" คำโปรยของละครเวทีเรื่องนี้...อืม อินเพราะค่อนข้างมีประสบการณ์ร่วม
"ช่อมาลีรำลึกได้แรงบันดาลใจจาก Shirley Valentine ของ Willy Russell (บทดั้งเดิมได้รับรางวัล the Laurence Olivier Awards 1998) และบทกลอนชื่อ Waiting ของ Faith Wilding การแสดงครั้งนี้เป็นการ restage หลังจากเคยแสดงมาแล้วเมื่อปี 2551"
บทและกำกับโดย ปานรัตน กริชชาญชัย
นำแสดงโดย เยาวลักษณ์ เมฆกุลวิโรจน์ และ ปานรัตน กริชชาญชัย
ขอปรบมือให้จนมือพังไปข้าง เพราะตลอดเวลาสองชั่วโมงกว่าๆ ฉันทั้งน้ำตาซึม จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะ แล้วกลับมาร้องไห้ จนกระทั่งยิ้มทั้งน้ำตาไปกับช่อมาลี แสงสุริยา ตัวละครเอกที่โคตรคล้ายฉันจริงๆ ฉันไม่เล่ารายละเอียด ใครอยากรู้ว่าทำไมช่อมาลี แสงสุริยาถึงทำให้ฉันมีอาการคล้ายคนบ้า ก็ต้่องไปชมกันเอง สนใจหลังไมค์กันได้....แต่ที่ฉันอยากพูดถึงคือ...แรงบันดาลใจที่ได้จากช่อมาลี
หลาย dialogue ที่ออกจากปากของตัวละครทำฉันสะดุ้ง...นี่ไอ้คนเขียนบทมันถอดวิญญาณไปสิงอยู่ในบ้านฉันใช่มั้ย ตั้งแต่...ตอนช่อมาลีด่าผัว...แม่ง..เชี่ย หรือตอนที่ช่อมาลีไม่กล้าไปบอกผัวว่าตัวเองจะไปเที่ยว เพราะผัวจะต้องพูดให้ตัวเองรู้สึกผิด ทั้งๆที่มันสิทธิ์ของกู ในเมื่อกูทำหน้าที่ทุกอย่างดีที่สุดแล้ว...
เรียกได้ว่าโดนซะหลายดอก
และมีหลาย dialogue ที่ฉันพยายามท่องจำสุดฤทธิ์ "หม่าม๊าก็มีวงกลมของหม่าม๊า เก๋ก็มีวงกลมของเก๋ เราต่างมีพื้นที่ของตัวเอง เข้ามาเกี่ยวข้องกันได้ แต่ในที่สุดก็ต้องแยกกันไปนะ"
อีเก๋มันไม่เข้าใจแม่มันหรอกแต่ฉันเข้าใจ เพราะฉันพยายามสอนลูกอย่างนั้นอยู่ ในอนาคต ทั้งฉันและลูกจะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าต่างเป็นภาระต่อกัน แต่เรารักกัน หากจะทำอะไรให้กันก็ทำด้วยความรัก อย่ามารู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ แต่ช่อมาลีไม่ได้มีโอกาสทำให้อีเก๋มันสำนึก อีเก๋ลูกที่คลั่งบีบีของช่อมาลีลุกขึ้นด่าแม่ว่าทุเรศ!!! พอรู้ว่าแม่กำลังจะไปเที่ยวเมืองนอก หลังจากที่ดักดานเลี้ยงลูก ดูแลผัวปานคนใช้มานาน ขณะที่ดู อยากจะตะโดนบอกช่อมาลีว่า...เพราะแกอ่อนแอ ไม่กล้าลุกขึ้นบอกผัวและลูกว่า...กูมีตัวตน!!!!
แต่ฉันก็เปลี่ยนใจเมื่อช่อมาลีฟังเสียงหัวใจตัวเอง ลุกขึ้นตะโกนด่าใ่ส่หน้าผัวว่า..."ไอ้แปะ!!!! มึงมาข้ามหัวกูอีกมา มา !!!!!" แล้วช่อมาลีก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ช่อมาลีรู้แล้วว่าตัวเองมีตัวตน มีร่างกายที่ยังต้องการ sex มีหัวใจที่ยังต้องการความซาบซ่าและหวามไหวยา่มใกล้ชิดตัวผู้ เธอต้องการใช้ชีวิตอย่างสิ่งที่มีชีวิต ไม่ใช่ที่น่ารกร้างว่างเปล่า และแล้วช่อมาลี แสงสุริยา สาวน้อยแสนซนคนเดิมก็กลับมา
เอ๊ะ...ฉันบอกไปแล้วใช่มั้ยว่าจะไม่เล่ารายละเอียด...ยังน่า ยังมีอีกหลายรายละเอียดที่ยังไม่ได้เล่า โดยเฉพาะประโยคของช่อมาลีที่บอกว่า "ฉันรู้สึกชอบตัวเองขึ้นมาแล้วล่ะ".....ฉันไม่เคยบอกตัวเองอย่างนี้เลย ใช่ ตอนนี้ฉันก็รู้สึกแบบนี้ ในขณะที่เดินทางเกือบถึงหลักสี่อยู่รอมร่อ
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นทุกคนมีประสบการณ์ชีวิตที่ต่างกันไป สิ่งที่ได้และความประทับใจจากละครที่เข้าไปเสพก็ย่อมต่างกันไปด้วยตามประสบการณ์ตัวเอง วรรคทองของฉันอาจจะเป็นแค่ประโยคพื้นๆของอีกคน ฉันกรี๊ดกับสิ่งเล็กๆที่หลายคนอาจมองไม่เห็นแต่โคตรโดนใจ ฉันอาจร้องไห้ให้กับบางประโยคในขณะที่อีกคนกลับไม่รู้สึก เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งรู้สึกในสิ่งที่ฉันรู้สึก จนกว่าจะได้ไป "เสพ" ด้วยตัวเอง
ป.ล เจ๊ช่อกับตุ๊กติ๊กกระตุ้นต่อมแรดฉันเข้าอย่างจัง...สุดสัปดาห์หน้า ฉันสัญญากับตัวเองและลูกๆว่าเราจะไปเที่ยวกัน...แล้วฉันก็เปิดหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมสำหรับเ็ด็กอย่างจริงจัง ในที่สุดฉันก็พบ Destination...นครนายก หุหุหุ
วันแห่งความรัก วาระพิเศษที่ทำให้หลายคู่ชวนกันไปเดทหวาน หรือคนไม่มีคู่ก็ถือโอกาสทำให้วันนี้เป็นวันแห่งการให้ นัยว่าอาจจะเกื้อหนุนนำให้เจอเนื้อคู่ที่ยังไม่รู้ว่าใครเร็วๆ หรือที่ยังไม่เกิดก็ขอให้รีบปฏิสนธิ มันเป็นวันที่มองไปทางไหนก็เห็นดอกกุหลาบบาน กระดาษห่อของขวัญรูปหัวใจ และคำอวยพรที่มีความรักเป็นนางเอก อืม...ภาพรวมโดยทั่วไป ทุกคนเลือกที่จะทำให้ตัวเองหัวใจเบิกบาน ส่วนฉันก็เลือกเหมือนกัน เลือกที่จะไม่หวานกับคนรัก เพราะฉันเป็นคนเปรี้ยวติดขม หวานไม่เป็น แต่ไปเบิกบานกับ...ละครเวที....ช่อมาลีรำลึก
"เรื่องราวของสาวใหญ่วัยหมดแรงแต่อยากลอง feel อีกสักครั้งหลังจากมีชีวิตที่ไม่ได้ใช้มานาน ความแรงที่ซ่อนเร้นกำลังจะพาช่อมาลีออกไปจากกรงขังใจ แต่กว่าเจ๊แกจะยอมแรง มันต้องผ่านประตูกลกี่บานก็ห่ได้เดาออกไม่ มาร่วมเดินทางไปกับช่อมาลีที่จะพาเราไปเที่ยวไกลๆ...ไปโดดลงทะเลที่มันลึกลงไปชั่วนิรันดร์กัน" คำโปรยของละครเวทีเรื่องนี้...อืม อินเพราะค่อนข้างมีประสบการณ์ร่วม
"ช่อมาลีรำลึกได้แรงบันดาลใจจาก Shirley Valentine ของ Willy Russell (บทดั้งเดิมได้รับรางวัล the Laurence Olivier Awards 1998) และบทกลอนชื่อ Waiting ของ Faith Wilding การแสดงครั้งนี้เป็นการ restage หลังจากเคยแสดงมาแล้วเมื่อปี 2551"
บทและกำกับโดย ปานรัตน กริชชาญชัย
นำแสดงโดย เยาวลักษณ์ เมฆกุลวิโรจน์ และ ปานรัตน กริชชาญชัย
ขอปรบมือให้จนมือพังไปข้าง เพราะตลอดเวลาสองชั่วโมงกว่าๆ ฉันทั้งน้ำตาซึม จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะ แล้วกลับมาร้องไห้ จนกระทั่งยิ้มทั้งน้ำตาไปกับช่อมาลี แสงสุริยา ตัวละครเอกที่โคตรคล้ายฉันจริงๆ ฉันไม่เล่ารายละเอียด ใครอยากรู้ว่าทำไมช่อมาลี แสงสุริยาถึงทำให้ฉันมีอาการคล้ายคนบ้า ก็ต้่องไปชมกันเอง สนใจหลังไมค์กันได้....แต่ที่ฉันอยากพูดถึงคือ...แรงบันดาลใจที่ได้จากช่อมาลี
หลาย dialogue ที่ออกจากปากของตัวละครทำฉันสะดุ้ง...นี่ไอ้คนเขียนบทมันถอดวิญญาณไปสิงอยู่ในบ้านฉันใช่มั้ย ตั้งแต่...ตอนช่อมาลีด่าผัว...แม่ง..เชี่ย หรือตอนที่ช่อมาลีไม่กล้าไปบอกผัวว่าตัวเองจะไปเที่ยว เพราะผัวจะต้องพูดให้ตัวเองรู้สึกผิด ทั้งๆที่มันสิทธิ์ของกู ในเมื่อกูทำหน้าที่ทุกอย่างดีที่สุดแล้ว...
เรียกได้ว่าโดนซะหลายดอก
และมีหลาย dialogue ที่ฉันพยายามท่องจำสุดฤทธิ์ "หม่าม๊าก็มีวงกลมของหม่าม๊า เก๋ก็มีวงกลมของเก๋ เราต่างมีพื้นที่ของตัวเอง เข้ามาเกี่ยวข้องกันได้ แต่ในที่สุดก็ต้องแยกกันไปนะ"
อีเก๋มันไม่เข้าใจแม่มันหรอกแต่ฉันเข้าใจ เพราะฉันพยายามสอนลูกอย่างนั้นอยู่ ในอนาคต ทั้งฉันและลูกจะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าต่างเป็นภาระต่อกัน แต่เรารักกัน หากจะทำอะไรให้กันก็ทำด้วยความรัก อย่ามารู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ แต่ช่อมาลีไม่ได้มีโอกาสทำให้อีเก๋มันสำนึก อีเก๋ลูกที่คลั่งบีบีของช่อมาลีลุกขึ้นด่าแม่ว่าทุเรศ!!! พอรู้ว่าแม่กำลังจะไปเที่ยวเมืองนอก หลังจากที่ดักดานเลี้ยงลูก ดูแลผัวปานคนใช้มานาน ขณะที่ดู อยากจะตะโดนบอกช่อมาลีว่า...เพราะแกอ่อนแอ ไม่กล้าลุกขึ้นบอกผัวและลูกว่า...กูมีตัวตน!!!!
แต่ฉันก็เปลี่ยนใจเมื่อช่อมาลีฟังเสียงหัวใจตัวเอง ลุกขึ้นตะโกนด่าใ่ส่หน้าผัวว่า..."ไอ้แปะ!!!! มึงมาข้ามหัวกูอีกมา มา !!!!!" แล้วช่อมาลีก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ช่อมาลีรู้แล้วว่าตัวเองมีตัวตน มีร่างกายที่ยังต้องการ sex มีหัวใจที่ยังต้องการความซาบซ่าและหวามไหวยา่มใกล้ชิดตัวผู้ เธอต้องการใช้ชีวิตอย่างสิ่งที่มีชีวิต ไม่ใช่ที่น่ารกร้างว่างเปล่า และแล้วช่อมาลี แสงสุริยา สาวน้อยแสนซนคนเดิมก็กลับมา
เอ๊ะ...ฉันบอกไปแล้วใช่มั้ยว่าจะไม่เล่ารายละเอียด...ยังน่า ยังมีอีกหลายรายละเอียดที่ยังไม่ได้เล่า โดยเฉพาะประโยคของช่อมาลีที่บอกว่า "ฉันรู้สึกชอบตัวเองขึ้นมาแล้วล่ะ".....ฉันไม่เคยบอกตัวเองอย่างนี้เลย ใช่ ตอนนี้ฉันก็รู้สึกแบบนี้ ในขณะที่เดินทางเกือบถึงหลักสี่อยู่รอมร่อ
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นทุกคนมีประสบการณ์ชีวิตที่ต่างกันไป สิ่งที่ได้และความประทับใจจากละครที่เข้าไปเสพก็ย่อมต่างกันไปด้วยตามประสบการณ์ตัวเอง วรรคทองของฉันอาจจะเป็นแค่ประโยคพื้นๆของอีกคน ฉันกรี๊ดกับสิ่งเล็กๆที่หลายคนอาจมองไม่เห็นแต่โคตรโดนใจ ฉันอาจร้องไห้ให้กับบางประโยคในขณะที่อีกคนกลับไม่รู้สึก เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งรู้สึกในสิ่งที่ฉันรู้สึก จนกว่าจะได้ไป "เสพ" ด้วยตัวเอง
ป.ล เจ๊ช่อกับตุ๊กติ๊กกระตุ้นต่อมแรดฉันเข้าอย่างจัง...สุดสัปดาห์หน้า ฉันสัญญากับตัวเองและลูกๆว่าเราจะไปเที่ยวกัน...แล้วฉันก็เปิดหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมสำหรับเ็ด็กอย่างจริงจัง ในที่สุดฉันก็พบ Destination...นครนายก หุหุหุ
วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554
Stories in My Head: เสียน้ำตาตอนห้าโมงเย็น
Stories in My Head: เสียน้ำตาตอนห้าโมงเย็น: "วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2554 ตอนห้าโมงเย็นของวันนี้ ฉันนอนดูหนังช่อง HBO เรื่อง 'My Sister's Keeper' (ถ้าจำชื่อไม่ผิด) เพิ่งจะเคยดูหนังที่เจ๊ี..."
เสียน้ำตาตอนห้าโมงเย็น
วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2554
ตอนห้าโมงเย็นของวันนี้ ฉันนอนดูหนังช่อง HBO เรื่อง "My Sister's Keeper" (ถ้าจำชื่อไม่ผิด) เพิ่งจะเคยดูหนังที่เจ๊ี่คาเมรอน ดิแอซ เธอเปลี่ยนแนวมาเล่นดราม่า รับบทแม่ผู้ทุ่มเททุกอย่างเพื่อยื้อชีวิตลูกสาวที่ป่วยเป็นลูคีเมีย ความสนใจในชีวิตของเธอมารวมศูนย์ที่ลูกสาวคนนี้ จนทำให้หลงลืมไปว่า เธอไม่ได้มีลูกแค่คนเดียว ยังมีลูกชายคนรองที่ฉันแอบลุ้นไม่ให้แอบเหงาจนลงเอยด้วยการฆ่าตัวตาย (แล้วคนเขียนบทก็เห็นใจฉัน)และลูกสาวคนสุดท้องที่มี mission ติดตัวมาตั้งแต่ตัวเองยังไม่ได้ปฏิสนธิ นั่นคือ...แม่ต้องการให้เกิดเพื่อจะได้อาศัยเลือดจากสายสะดือ ไขสันหลัง มารักษาอาการป่วยของพี่สาว และกำลังจะเลยเถิดไปถึงขั้นต้องสละไตข้างหนึ่ง
ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเห็นชอบของแม่เป็นหนึ่ง ส่วนเสียงของพ่อ แม่ไม่เคยได้ยิน และไม่ได้ยินเสียงของลูกสาวที่ป่วยด้วย ถึงแม้ลูกจะพยายามบอกหลายครั้งเป็นนัยๆว่า...ไม่อยากจะทรมานให้หมอผ่า ตัด สับบนเขียงอีกแล้ว อยากจะหยุดเพื่อไปรอพบคนที่เธอรักอีกครั้งหลังความตาย เมื่อแม่ไม่ฟัง พ่อก็อ่อนตามแม่ ลูกจึงหาทางทำให้แม่ยอมรับว่าความตายเป็นสัจธรรม และต้องปล่อยให้มันเป็นไปด้วยการสมคบคิดให้น้องคนเล็กที่อายุเพียง 11 ปียื่นฟ้องพ่อแม่ตัวเอง เพื่อปกป้องอวัยวะและปฏิเสธการผ่าตัดทุกอย่างที่พ่อแม่ไม่เคยถามความสมัครใจ!!!....แวร็งส์
ดูไปก็ร้องไห้ไปไม่หยุดเพราะสะเทือนใจ และเหมือนถูกตบหน้าในหลายๆฉาก จนรู้สึกไปว่าหน้าตัวเองบวมช้ำ เข้าใจในความรักของคนเป็นแม่ ไม่มีแม่คนไหนทำใจได้หากต้องมาเห็นลูกตายก่อนตัวเอง จึงทำได้ทุกอย่างเพื่อยื้อให้เขาอยู่กับเราให้ได้นานที่สุด แต่อีแม่ในเรื่องนี้ต่อสู้แบบหัวทะลุฝาและบ้าบิ่น สู้โดยไม่ยอมรับว่ามันต้องมีจุดจบ สู้โดยยอมแลกกับสิ่งที่มีค่าไม่น้อยไปกว่าชีวิตของลูกที่กำลังจะตาย นั่นก็คือชีวิตของลูกอีกสองคน และตัวตนของสามีที่ยอมให้เธอเป็นแม่ทัพออกรบกับพญามัจจุราชเพื่อยื้อแย่งชีวิตลูกสาวมาตลอด 14 ปีเต็ม...จนเกิดการตั้งคำถามว่าแท้ที่จริงแล้ว แม่คนนี้รักลูกหรือกลัวตัวเองจะเสียใจและสูญเสีย ตัวละครจะเรียนรู้และคิดได้หรือไม่ และคำตอบมันก็มีอยู่แล้วในหนัง เดาได้ไม่ยาก
สิ่งที่ได้มาหลังจากดูหนังจบนอกจากขอบตาอันแดงช้ำแล้วก็คือ...ถามลูกก่อนดีกว่าว่าเย็นนี้จะกินอะไร เดี๋ยวถูกฟ้อง ^_^
ตอนห้าโมงเย็นของวันนี้ ฉันนอนดูหนังช่อง HBO เรื่อง "My Sister's Keeper" (ถ้าจำชื่อไม่ผิด) เพิ่งจะเคยดูหนังที่เจ๊ี่คาเมรอน ดิแอซ เธอเปลี่ยนแนวมาเล่นดราม่า รับบทแม่ผู้ทุ่มเททุกอย่างเพื่อยื้อชีวิตลูกสาวที่ป่วยเป็นลูคีเมีย ความสนใจในชีวิตของเธอมารวมศูนย์ที่ลูกสาวคนนี้ จนทำให้หลงลืมไปว่า เธอไม่ได้มีลูกแค่คนเดียว ยังมีลูกชายคนรองที่ฉันแอบลุ้นไม่ให้แอบเหงาจนลงเอยด้วยการฆ่าตัวตาย (แล้วคนเขียนบทก็เห็นใจฉัน)และลูกสาวคนสุดท้องที่มี mission ติดตัวมาตั้งแต่ตัวเองยังไม่ได้ปฏิสนธิ นั่นคือ...แม่ต้องการให้เกิดเพื่อจะได้อาศัยเลือดจากสายสะดือ ไขสันหลัง มารักษาอาการป่วยของพี่สาว และกำลังจะเลยเถิดไปถึงขั้นต้องสละไตข้างหนึ่ง
ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเห็นชอบของแม่เป็นหนึ่ง ส่วนเสียงของพ่อ แม่ไม่เคยได้ยิน และไม่ได้ยินเสียงของลูกสาวที่ป่วยด้วย ถึงแม้ลูกจะพยายามบอกหลายครั้งเป็นนัยๆว่า...ไม่อยากจะทรมานให้หมอผ่า ตัด สับบนเขียงอีกแล้ว อยากจะหยุดเพื่อไปรอพบคนที่เธอรักอีกครั้งหลังความตาย เมื่อแม่ไม่ฟัง พ่อก็อ่อนตามแม่ ลูกจึงหาทางทำให้แม่ยอมรับว่าความตายเป็นสัจธรรม และต้องปล่อยให้มันเป็นไปด้วยการสมคบคิดให้น้องคนเล็กที่อายุเพียง 11 ปียื่นฟ้องพ่อแม่ตัวเอง เพื่อปกป้องอวัยวะและปฏิเสธการผ่าตัดทุกอย่างที่พ่อแม่ไม่เคยถามความสมัครใจ!!!....แวร็งส์
ดูไปก็ร้องไห้ไปไม่หยุดเพราะสะเทือนใจ และเหมือนถูกตบหน้าในหลายๆฉาก จนรู้สึกไปว่าหน้าตัวเองบวมช้ำ เข้าใจในความรักของคนเป็นแม่ ไม่มีแม่คนไหนทำใจได้หากต้องมาเห็นลูกตายก่อนตัวเอง จึงทำได้ทุกอย่างเพื่อยื้อให้เขาอยู่กับเราให้ได้นานที่สุด แต่อีแม่ในเรื่องนี้ต่อสู้แบบหัวทะลุฝาและบ้าบิ่น สู้โดยไม่ยอมรับว่ามันต้องมีจุดจบ สู้โดยยอมแลกกับสิ่งที่มีค่าไม่น้อยไปกว่าชีวิตของลูกที่กำลังจะตาย นั่นก็คือชีวิตของลูกอีกสองคน และตัวตนของสามีที่ยอมให้เธอเป็นแม่ทัพออกรบกับพญามัจจุราชเพื่อยื้อแย่งชีวิตลูกสาวมาตลอด 14 ปีเต็ม...จนเกิดการตั้งคำถามว่าแท้ที่จริงแล้ว แม่คนนี้รักลูกหรือกลัวตัวเองจะเสียใจและสูญเสีย ตัวละครจะเรียนรู้และคิดได้หรือไม่ และคำตอบมันก็มีอยู่แล้วในหนัง เดาได้ไม่ยาก
สิ่งที่ได้มาหลังจากดูหนังจบนอกจากขอบตาอันแดงช้ำแล้วก็คือ...ถามลูกก่อนดีกว่าว่าเย็นนี้จะกินอะไร เดี๋ยวถูกฟ้อง ^_^
วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554
อนุบาลแฟนเทเชีย
วันเสาร์ที่ 8 มกราคม 2554
เป็นวันเด็กแห่งชาติที่มีคำขวัญชวนประทับใจ "รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ" ไม่ใช่คำหรูหราแต่กลับมี(ผู้ใหญ่) หลายคนต้องขอแปลไทยเป็นไทย เพราะไม่เข้าใจคำว่าจิตสาธารณะ...ทำไม???? เรื่องคนอื่นช่างก่อน มาที่คำขวัญของผู้ใหญ่อย่างฉัน นั่นคือ "รู้ให้รอบ รู้ให้จริง และต้องพึ่งพิงที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณบ้างไรบ้าง" เหอๆๆๆ ^O^ ใครจะจำไปปฏิบัติก็ไม่ว่าอะไรกัน
เป็นวันเด็กแห่งชาติที่ฉันสงสารเด็กที่เป็นอนาคตของชาติ โดยเฉพาะรุ่นที่ต้องเข้าเรียนอนุบาล 1 ในเทอมหน้า เอ้า...เว้ากันตรงๆ สงสารลูกตัวเองเนี่ยแหละ รวมถึงสงสารตัวเองด้วย เพราะอยากให้เข้าเรียนโรงเรีัยนดีๆ มีคุณภาพและค่าเทอมไม่แพงอย่างโรงเรียนอมาตยกุล ซอยพหลโยธิน 51 แต่เขารับจำนวนจำกัด ในขณะที่มีเด็กจ่อจะเข้าเรียนหลายร้อย วิธีที่ยุติธรรมที่สุดสำหรับการรับเด็กเข้าเรียนคือ...การจับฉลาก ต้องอาศัยดวงล้วนๆครับพี่น้อง....สงสารลูกอีกแล้ว เพราะฉันต้องไปเป็นคนส่งชื่อ...และฉันก็เป็นคนดวงกากทางด้านนี้ แปลว่า...เสี่ยงดวงไปเห๊อะ แห้วตลอด ^_T แต่มีหรือที่เราจะยอมแพ้ แม่อย่างฉันขอต่อสู้กับดวงให้ถึงที่สุด!!!
"คุณแม่ต้องมาเขียนชื่อน้องระหว่าง 7.30 - 8.00 น.นะครับ" เสียงเจ้าหน้าที่โรงเีรียนให้ข้อมูลมาตามสายเมื่อฉันโทรไปสอบถามเรื่องการจับฉลาก
"ต้องเตรียมเอกสารอะไรไปหรือเปล่าคะ" ฉันถามเพื่อความพร้อม
"ปากกาด้ามเดียวพอครับ" เอ๊ะ...เขากำลังเล่นมุขหรืออะไรหว่า แต่ช่างมัน
อีกสิบห้านาทีเจ็ดโมงเช้า ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ฉันไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก!!! ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 40 นาทีในการเดินทางไปโรงเรียนอมาตยกุล แปลว่า ฉันต้องออกจากบ้านทันทีเพื่อไปให้ถึงทันเวลา 7.30 น. ฉันบอกตัวเอง ฉันจะพลาดโอกาสนี้เพียงเพราะนอนตื่นสายไม่ได้!!!
รีบอาบน้ำ รีบทำทุกอย่าง ฉันไปถึงในเวลา 7.40 น.อ้าว...ยังมีคนทะยอยมากันอยู่เลย แปลว่า 7.30 น.ไม่ใช่เส้นตาย โล่งใจไป เพราะเส้นตายคือ 8.30 น.อ้าว...รู้งี้กินกาแฟก่อนออกมาจากบ้านสักแก้วก็ยังดี
8.30 น.ครูประกาศออกไมค์ลั่น "ต่อไปนี้จะเป็นการจับฉลากนักเรียนที่จะเข้าเรียนชั้นอนุบาลในปีการศึกษา 2554 นะคะ ขอเรียนเชิญท่านผ.อ.ค่ะ"
ฉันกวาดสายตามองไปรอบๆ ผู้ปกครองส่วนใหญ่ดูตื่นเต้นเหมือนตัวเองเป็นคนเข้าเรียนเองก็ไม่ปาน เออเนอะ เรื่องของลูกก็เหมือนเรื่องของเรา อนาคตของลูกก็เหมือนอนาคตของเรา...แต่ก็ต้องเตือนตัวเองอยู่บ่อยๆ...ความสุขของเราไม่ใช่ความสุขของลูก...^^
ฉันบอกตัวเองตั้งแต่ตัดสินใจมาเสี่ยงดวงในครั้งแรกแล้วว่า "ฉันจะไม่ตื่นเต้น ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้" แต่เมื่อถึงเวลาจริง....หัวใจฉันเต้นโครมคราม ฝ่ามือเริ่มชื้นด้วยเหงื่อ....ตายล่ะ เมื่อคืนลืมสวดมนตร์ ^^
ผ.อ.จับฉลาก คุณครูประกาศรายชื่อเด็กผู้โชคดีคนแรก...เสียงหัวใจยิ่งเต้นระทึก เหมือนจะออกมาดิ้นอยู่ข้างนอก...ด.ญ.....ไม่ใช่ไอ้อ้วน...เซ็ง
เสียงประกาศรายชื่อลำดับที่สอง ....ด.ช...ไม่ใช่ไอ้อ้วนแระ....เฮ้อ
เสียงประกาศรายชื่อลำดับที่สาม....ด.ญ...เสียงครูขาดห้วงเพราะไม่แน่ใจว่าชื่อเด็กอ่านว่าอย่างไร...สปอตไลท์จับมาที่ฉันทันที...เสียงเต้นของหัวใจเงียบลง ได้ยินเพียงเสียงหายใจของตัวเองที่ดังเป็นห้วงๆ เวลาช่างผ่านไปเนิ่นนานเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด...ภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้เป็นชื่อของไอ้อ้วน ด.ญ. ปาตีร์ มะชะรา เห็นมั้ยชื่ออ่านยากจะตาย ใครไม่คุ้นอ่านไม่ค่อยถูกทั้งนั้น...คุณครูกำลังประกาศชื่อแล้ว...ด.ญ...พิมพ์...อะไรสักอย่าง...เวง T_T
ผ.อ.จับฉลากรายชื่อสลับกับการประกาศของคุณครูผ่านไปเรื่อยๆทีละคน จนมาถึงลำดับที่ 20...ทุกอย่างรอบตัวตกอยู่ในความเงียบ ฉันยืนอยู่คนเดียวกลางเวที มองออกไปข้างหน้าด้วยแววตาอ้อนวอน จับจ้องที่รูปปากของคุณครูที่ค่อยๆอ่านรายชื่อเด็กคนสุดท้ายที่ได้ไปต่อ...เด็กกก หญิงงงงง....ชะ.......วืดแล้วค่ะ จบข่าว!!!!
กลับบ้านด้วยอาการขำตัวเอง ที่ตกหลุมอารมณ์ลุ้น แต่ก็โล่งใจที่ได้ทำหน้าที่อย่างเรียบร้อยสมบูรณ์ ซึ่งในชีวิตไม่ค่อยได้ทำอะไรอย่างที่พ่อแม่คนอื่นๆเขาทำกันสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเรื่องแบบนี้ เพราะถือคติที่ว่า...เรียนที่ไหนก็ได้ เอาใกล้บ้าน สภาพแวดล้อมปลอดภัย คุณภาพพอไหว ค่าเทอมไม่แพง ที่เหลือคงเป็นหน้าที่ของลูกที่ต้องขวนขวายหาอะไรใส่สมอง โดยมีเราคอยทำหน้าที่เทรนเนอร์ คอยเอาไฟฉายส่องทางให้ลูก แต่คงไม่เข้าไปเลือกทางเดินให้ลูก เขาคงต้องเลือกเอง เลือกเรียน เลือกทำในสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข เพราะความสุขของเรา ไม่ใช่ความสุขของลูก แต่ความสุขของลูกคือความสุขของเรา เพราะฉะนั้นต้องแยกสมการดีๆ ไม่งั้น...งงตาย ^_^
เป็นวันเด็กแห่งชาติที่มีคำขวัญชวนประทับใจ "รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ" ไม่ใช่คำหรูหราแต่กลับมี(ผู้ใหญ่) หลายคนต้องขอแปลไทยเป็นไทย เพราะไม่เข้าใจคำว่าจิตสาธารณะ...ทำไม???? เรื่องคนอื่นช่างก่อน มาที่คำขวัญของผู้ใหญ่อย่างฉัน นั่นคือ "รู้ให้รอบ รู้ให้จริง และต้องพึ่งพิงที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณบ้างไรบ้าง" เหอๆๆๆ ^O^ ใครจะจำไปปฏิบัติก็ไม่ว่าอะไรกัน
เป็นวันเด็กแห่งชาติที่ฉันสงสารเด็กที่เป็นอนาคตของชาติ โดยเฉพาะรุ่นที่ต้องเข้าเรียนอนุบาล 1 ในเทอมหน้า เอ้า...เว้ากันตรงๆ สงสารลูกตัวเองเนี่ยแหละ รวมถึงสงสารตัวเองด้วย เพราะอยากให้เข้าเรียนโรงเรีัยนดีๆ มีคุณภาพและค่าเทอมไม่แพงอย่างโรงเรียนอมาตยกุล ซอยพหลโยธิน 51 แต่เขารับจำนวนจำกัด ในขณะที่มีเด็กจ่อจะเข้าเรียนหลายร้อย วิธีที่ยุติธรรมที่สุดสำหรับการรับเด็กเข้าเรียนคือ...การจับฉลาก ต้องอาศัยดวงล้วนๆครับพี่น้อง....สงสารลูกอีกแล้ว เพราะฉันต้องไปเป็นคนส่งชื่อ...และฉันก็เป็นคนดวงกากทางด้านนี้ แปลว่า...เสี่ยงดวงไปเห๊อะ แห้วตลอด ^_T แต่มีหรือที่เราจะยอมแพ้ แม่อย่างฉันขอต่อสู้กับดวงให้ถึงที่สุด!!!
"คุณแม่ต้องมาเขียนชื่อน้องระหว่าง 7.30 - 8.00 น.นะครับ" เสียงเจ้าหน้าที่โรงเีรียนให้ข้อมูลมาตามสายเมื่อฉันโทรไปสอบถามเรื่องการจับฉลาก
"ต้องเตรียมเอกสารอะไรไปหรือเปล่าคะ" ฉันถามเพื่อความพร้อม
"ปากกาด้ามเดียวพอครับ" เอ๊ะ...เขากำลังเล่นมุขหรืออะไรหว่า แต่ช่างมัน
อีกสิบห้านาทีเจ็ดโมงเช้า ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ฉันไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก!!! ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 40 นาทีในการเดินทางไปโรงเรียนอมาตยกุล แปลว่า ฉันต้องออกจากบ้านทันทีเพื่อไปให้ถึงทันเวลา 7.30 น. ฉันบอกตัวเอง ฉันจะพลาดโอกาสนี้เพียงเพราะนอนตื่นสายไม่ได้!!!
รีบอาบน้ำ รีบทำทุกอย่าง ฉันไปถึงในเวลา 7.40 น.อ้าว...ยังมีคนทะยอยมากันอยู่เลย แปลว่า 7.30 น.ไม่ใช่เส้นตาย โล่งใจไป เพราะเส้นตายคือ 8.30 น.อ้าว...รู้งี้กินกาแฟก่อนออกมาจากบ้านสักแก้วก็ยังดี
8.30 น.ครูประกาศออกไมค์ลั่น "ต่อไปนี้จะเป็นการจับฉลากนักเรียนที่จะเข้าเรียนชั้นอนุบาลในปีการศึกษา 2554 นะคะ ขอเรียนเชิญท่านผ.อ.ค่ะ"
ฉันกวาดสายตามองไปรอบๆ ผู้ปกครองส่วนใหญ่ดูตื่นเต้นเหมือนตัวเองเป็นคนเข้าเรียนเองก็ไม่ปาน เออเนอะ เรื่องของลูกก็เหมือนเรื่องของเรา อนาคตของลูกก็เหมือนอนาคตของเรา...แต่ก็ต้องเตือนตัวเองอยู่บ่อยๆ...ความสุขของเราไม่ใช่ความสุขของลูก...^^
ฉันบอกตัวเองตั้งแต่ตัดสินใจมาเสี่ยงดวงในครั้งแรกแล้วว่า "ฉันจะไม่ตื่นเต้น ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้" แต่เมื่อถึงเวลาจริง....หัวใจฉันเต้นโครมคราม ฝ่ามือเริ่มชื้นด้วยเหงื่อ....ตายล่ะ เมื่อคืนลืมสวดมนตร์ ^^
ผ.อ.จับฉลาก คุณครูประกาศรายชื่อเด็กผู้โชคดีคนแรก...เสียงหัวใจยิ่งเต้นระทึก เหมือนจะออกมาดิ้นอยู่ข้างนอก...ด.ญ.....ไม่ใช่ไอ้อ้วน...เซ็ง
เสียงประกาศรายชื่อลำดับที่สอง ....ด.ช...ไม่ใช่ไอ้อ้วนแระ....เฮ้อ
เสียงประกาศรายชื่อลำดับที่สาม....ด.ญ...เสียงครูขาดห้วงเพราะไม่แน่ใจว่าชื่อเด็กอ่านว่าอย่างไร...สปอตไลท์จับมาที่ฉันทันที...เสียงเต้นของหัวใจเงียบลง ได้ยินเพียงเสียงหายใจของตัวเองที่ดังเป็นห้วงๆ เวลาช่างผ่านไปเนิ่นนานเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด...ภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้เป็นชื่อของไอ้อ้วน ด.ญ. ปาตีร์ มะชะรา เห็นมั้ยชื่ออ่านยากจะตาย ใครไม่คุ้นอ่านไม่ค่อยถูกทั้งนั้น...คุณครูกำลังประกาศชื่อแล้ว...ด.ญ...พิมพ์...อะไรสักอย่าง...เวง T_T
ผ.อ.จับฉลากรายชื่อสลับกับการประกาศของคุณครูผ่านไปเรื่อยๆทีละคน จนมาถึงลำดับที่ 20...ทุกอย่างรอบตัวตกอยู่ในความเงียบ ฉันยืนอยู่คนเดียวกลางเวที มองออกไปข้างหน้าด้วยแววตาอ้อนวอน จับจ้องที่รูปปากของคุณครูที่ค่อยๆอ่านรายชื่อเด็กคนสุดท้ายที่ได้ไปต่อ...เด็กกก หญิงงงงง....ชะ.......วืดแล้วค่ะ จบข่าว!!!!
กลับบ้านด้วยอาการขำตัวเอง ที่ตกหลุมอารมณ์ลุ้น แต่ก็โล่งใจที่ได้ทำหน้าที่อย่างเรียบร้อยสมบูรณ์ ซึ่งในชีวิตไม่ค่อยได้ทำอะไรอย่างที่พ่อแม่คนอื่นๆเขาทำกันสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเรื่องแบบนี้ เพราะถือคติที่ว่า...เรียนที่ไหนก็ได้ เอาใกล้บ้าน สภาพแวดล้อมปลอดภัย คุณภาพพอไหว ค่าเทอมไม่แพง ที่เหลือคงเป็นหน้าที่ของลูกที่ต้องขวนขวายหาอะไรใส่สมอง โดยมีเราคอยทำหน้าที่เทรนเนอร์ คอยเอาไฟฉายส่องทางให้ลูก แต่คงไม่เข้าไปเลือกทางเดินให้ลูก เขาคงต้องเลือกเอง เลือกเรียน เลือกทำในสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข เพราะความสุขของเรา ไม่ใช่ความสุขของลูก แต่ความสุขของลูกคือความสุขของเรา เพราะฉะนั้นต้องแยกสมการดีๆ ไม่งั้น...งงตาย ^_^
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
















