วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กลับมาอีกครั้ง

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ 2555
หลายเดือนที่ห่างหายไปจากการเล่าเรื่องในหัวของเจ้าของบล็อก ด้วยภาระหน้าที่อันวุ่นวาย แต่ตัวการสำคัญที่สุดที่ทำให้ห่างเหินจากการเขียนคือ...ไม่มีอะไรในหัวที่พอจะจับเป็นประเด็นมาเขียนเล่าได้ มันเยอะ เลอะเทอะ วุ่นวาย สับสนอีรุงตุงนังไปซะหมด

วันนี้กลับมาอ่านบทความเก่าๆในบล็อกตัวเองอีกครั้ง...อืม...เป็นประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจในรอบสองปีของชีวิตผู้หญิงที่ไม่ปกติคนหนึ่งซึ่งพยายามทำตัวและดำเนินชีวิตให้เป็นปกติที่สุด เพราะมีความขัดแย้ง มันจึงเป็นเรื่องเป็นราวมาให้เขียนเล่า ถ้าเป็นคนอื่น ก็คงจะมองว่า...ไม่ใช่เรื่อง แต่สำหรับฉัน...โคตรเป็นเรื่องเลย

ความขัดแย้งบางอย่างก็หาทางออกให้กับมันได้ แต่บางอย่างก็ทำไม่ได้ ทำได้ดีที่สุดคือ...อยู่กับมันอย่างปกติที่สุด ทุกข์มั้ย...โคตรทุกข์ แล้วทำไง...ก็ทุกข์ไง แต่ไม่ใส่ใจ สะบัดบ็อบใส่ รอเวลา....เวลาที่เหมาะสมที่อะไรๆคงคลี่คลายไปเองได้ พูดภาษาบ้านๆคือ....จนกว่าจะหมดเวรหมดกรรม

กว่าจะถึงวันนั้น คงมีเรื่องเล่าจากความขัดแย้งมาเล่าให้ฟังได้อีกหลายเรื่อง....กรุณาติดตามอ่านตอนต่อไป....รับประกันว่า...เยอะ!!!!!

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เหงาๆวันลอยกระทงที่พัทยา

วันนี้เป็นวันลอยกระทง....ปี 2554
วันที่เท่าไหร่แล้วไม่ได้นับ หลังจากที่หนีน้ำท่วมจากกรุงเทพมาเปิดฐานบัญชาการชีวิตชั่วคราวที่พัทยา เมืองชายทะเลที่โด่งดังติดอันดับโลก แต่เชื่อมั้ยว่าชีวิตวันๆของฉันวนเวียนอยู่แค่...ห้องพัก - Foodland ห้องพัก - โลตัส ห้องพัก - บิ๊กซี ห้องพัก- ร้านกาแฟ ห้องพัก-ร้านส้มตำ ห้องพัก - ฯลฯ ยกเว้น ห้องพัก-ชายทะเล......ที่ยังคงรอคอยให้ฉันทุ่มตัวไปหา ในขณะที่ฉันทำได้แค่เพียงนั่งมอเตอร์ไซค์ผ่านมองมันตาปริบๆ และฝากข้อความถึงมันว่า...รออีกสักพักนะจ๊ะน้องน้ำทะเล

เพราะภาระหน้าที่การงานที่บีบคั้น บีบรัด จนจัดเวลาไปลั้ลลาสร้างสีสันให้ชีวิตไม่ได้ ส่วนคนที่ลั้ลลาได้ตลอดเวลา และทุกวัน คือลูกสาวที่ว่ายน้ำในสระของที่พักจนตัวดำเป็นเหนี่ยง หันไปเห็นทีไร ตกใจทุกที คิดว่าตัวเองได้เสียกับนิโกร ลูกถึงได้เป็นเช่นนี้  ยังมีแก่ใจถาม ว่าเมื่อไหร่จะไปเล่นน้ำทะเล....ยังดำไม่พอกันชิมิ รอสักครู่ จัดให้แน่นอน

คืนนี้เป็นอีกคืนที่โลกภายนอกครึกครื้นด้วยเสียงพลุ และไฟวิบวับประดับท้องฟ้ายามราตรีของเมืองพัทยา นักท่องเที่ยวและคนพื้นที่ร่วมฉลองในวันลอยกระทง.....ดูข่าวในทีวี ถึงแม่คนไทยหลายคนจะยังคงอยู่ในสภาวะประสบภัยจากน้ำ แต่ยังมีใจออกมาขอขมาพระแม่คงคาเท่าที่จะสามารถทำได้ตามกำลัง แต่ที่เห็นเด่นชัด คือทัศนคติของคนส่วนใหญ่ที่คิดว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องขอขมาพระแม่คงคาอย่างแท้จริง 

ยามวิกฤติเราถึงจะมีดวงตาที่มองเห็นกันใช่มั้ยว่า....อะไรคือสิ่งที่ควรทำ และอะไรคือสิ่งที่ควรเป็น
ฉันคนหนึ่งล่ะที่ได้เรียนรู้ว่า เมื่อต้องใช้ชีวิตโดยเอามาแค่ที่จำเป็นจริงๆ ฉันหยิบจับอะไรติดตัวมาบ้าง และเมื่อต้องหาซื้อทีหลัง ฉันคิดว่าฉันต้องการอะไรบ้าง เน้น...ที่ต้องการจริงๆ
-คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
-โทรศัพท์มือถือและชาร์จเจอร์
-สมุดจดงาน ปากกา ดินสอ
-เสื้อผ้า (ใส่ทำงาน ใส่นอน)  รองเท้าแตะ (เอามาจากบ้าน) รองเท้าใส่ออกงาน 1 คู่ (ซื้อทีหลัง)
-กระติกน้ำร้อนต้มน้ำชงกาแฟ (ซื้อทีหลัง)
-ลูกสาว 2 คน (บวกยาสำหรับโรคประจำตัวของลูกสาว เสื้อผ้าของเขา และผ้าห่มประจำตัว)
-แม่
-รถ 1 คัน
-หนังสือนวนิยายแปล (ซื้อทีหลัง เพียบเลยเพราะโปรโมชั่นเหลือเล่มละร้อยถ้าซื้อสามเล่มขึ้นไป...โอย..ใจสั่น)
.....นอกนั้น....ไม่เอาล่ะค่าาาาาาาา

อืม....ก็ไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ก็เยอะกว่าบางคนที่ออกมาได้โดยมีเสื้อผ้าติดตัวมาแค่ชุดเดียว

กลับมาเหงาอีกครั้ง....ไม่รู้ทำไม มีอะไรให้ทำก็เยอะ มีเรื่องให้คิดก็แยะ มีคนให้ดูแลก็หลาย แต่สุดท้ายก็อดเหงาไม่ได้อยู่ดี  เหมือนมีบางอย่างขาดหายไป และไม่เคยมีใครเติมให้เต็มได้สักที....บางทีวันลอยกระทงปีหน้า ฉันอาจจะนั่งเหงาอยู่ที่ไหนสักแห่ง....สถานที่เปลี่ยนไป แต่ความรู้สึกยังเหมือนเดิม

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Keep Walking

วันก่อนได้อ่านลิงก์ที่มีคุณค่าทางจิตใจ ได้อ่านแล้วดีใจ ทำให้กลับไปคิดถึงคำสั่งสอนของครูอีกครั้ง ที่ีผ่านมาทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ยัง "ปักธง" ชีวิตอยู่กับร่องกับรอยที่ครูสอน โดยที่ไม่ได้หลอกตัวเอง

แต่วันนี้...ต้องกลับไปอ่านมันอีกครั้ง เพราะอาการบาดเจ็บ ทำให้เหมือนคนอกหัก รู้สึกสับสนกับความเชื่อมั่นบางอย่างที่ฉันใช้นำทางชีวิต แต่หลังจากที่ได้อ่าน ความเชื่อมั่นก็กลับคืนมา เหมือนได้ไปนั่งฟังครูสอนอีกครั้ง ครูปลอบประโลมให้เราคลายความกังวลใจ และสบายใจ ลุกขึ้นมาตั้งสติใหม่ และเคลียร์ความรู้สึกหม่นหมองออกไป ยังคง "ปักธง" ไว้บนเส้นทางที่ครูสอน ไม่หวั่นไหว ใครไม่ได้มีอุดมการณ์เดียวกัน ก็ปล่อยเขาไป แม้จะเหลือฉันเพียงคนเดียวที่เดินอยู่ ก็ช่างมัน 




"มองให้เห็น...ฟังให้ได้ยิน"
(โดย ครูแอ๋ว...อ.อรชุมา ยุทธวงศ์ : ครูสอนการแสดงคนแรกของฉัน ที่เขียนถึงครูใหญ่
อ.สดใส พันธุมโกมล ครูใหญ่ที่ยิ่งใหญ่ของลูกศิษย์ทุกคน : จากหนังสือ "60 ยังแอ๋ว") คัดลอกมาจากลิงก์ของคุณ GPEN  ที่พี่สมรักษ์เอามาแชร์ใน facebook...ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

"ครูสอนให้รัก รักชีวิต รักผู้คน ให้ชื่นชมความสำเร็จของผู้อื่น ให้มีศรัทธาต่อเพื่อนมนุษย์ เคารพตัวเอง แต่มีตัวตนน้อยที่สุด
ครูสอนให้บินให้สูง มองให้เห็น ฟังให้ได้ยิน ให้เป็นส่วนหนึ่งของทั้งหมด รับรู้ให้จบสิ้น แล้วปล่อยวาง อยู่เหนือเหตุการณ์ทั้งปวง จึงจะหยั่งรู้ได้ทุกสิ่ง
กล้าพูด กล้าทำ กล้าเผชิญหน้า ครูสอนให้ฝัน ฝันให้ไกล ให้ค้นหาจนกว่าจะพบ ไม่ปิดกั้น ไม่หยุดนิ่ง ไม่แข่งขัน รางวัลอยู่ที่ความ "ใช่" ของผลงาน รับรู้ได้ด้วยตนเอง คำชม ชื่อเสียง เกียรติยศคือผลพลอยได้
ผ่านมา แล้วผ่านไป ไม่ยึดติด ครูสอนว่าชีวิตเริ่มต้นใหม่ทุกวันไป
มีใจให้กับทุกอย่าง ไม่มีงานใหญ่ ไม่มีงานเล็ก ไม่มีคนใหญ่ ไม่มีคนเล็ก ทุกคนคือคน ทุกงานคืองาน มองทุกอย่างที่เข้ามาเหมือนเป็นครั้งแรกที่ได้พบเห็น จึงจะเป็นผู้สร้างอย่างแท้จริง

ในเรื่องของการแสดง ครูสอนและกำกับให้ค้นหาชีวิตของตัวละครจนกว่าจะพบแก่นแท้ อย่ากำหนดให้เป็นไป แต่ให้ตามรู้สิ่งที่เกิดขึ้น ตัวละครจะ "บอก" นักแสดงเอง
เวลาครูกำกับ ครูบอกว่า กลืนลงไปให้หมด ย่อยซะ แล้วขี้ออกมา ที่ครูสอนคือหัวใจของการแสวงหา

้ห้เปิดรับความเป็นไปได้ทั้งหมด อย่าปิดกั้น รับเข้าไว้ในตัว ให้ได้ประโยชน์สูงสุด เลือกทิ้งไป รับไว้แต่สิ่งที่ใช่ การเป็นศิษย์ของครูมีค่ายิ่ง ครูสอนเกี่ยวกับชีวิตและครูให้ชีวิต นี่คือครูของฉัน คุณครูที่อยู่ในใจลูกศิษย์ทุกคน"

นักเรียนกราบ...ขอบคุณค่ะคุณครู ^_____________^

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เพื่อนเก่าที่ยังไม่มีใครแก่

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน 2554 เวลา 18.00 น.เป็นวันนัดรวมตัวพบปะเด็กอักษรฯ รุ่น 59 ที่ร้านเวณิสวานิช ท่าน้ำมหาราช....ฉันไปร่วมงานด้วยอาการลิงโลดลั๊ลลา สายไปนิดแต่ต่อติดได้ในเวลาไม่นาน

ขำดี เมื่อมองย้อนเวลาไปสมัยเป็นสาวอักษร ฉันเป็นนิสิตที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนนัก ยกเว้นวิชาของศิลปการละครซึ่งฉันเลือกเป็นวิชาเอก และส่วนใหญ่ก็จะมีเรียนในช่วงบ่าย  เพื่อนๆจึงไม่ค่อยพบเห็นหน้าค่าตาของฉันในช่วงเช้า รู้สึกว่าตัวเองเป็นนิสิตภาคค่ำยังไงยังงั้น  เลยทำให้ไม่ค่อยได้ร่วมกิจกรรมของคณะมากนัก เพราะฉันเอาเวลาส่วนใหญ่ไปทำงานและแรดอยู่ข้างนอก...แต่ฉันยังจำได้ดีช่วงที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตสาวอักษรในปีหนึ่งและปีสอง....ได้ทำ ได้ฮา ได้เสียน้ำตาร่วมกับเพื่อนๆทุกคน

จนทุกคนเรียนจบกันออกมา ต่างเดินทางกันไปตามทางของตัวเอง ผ่านจุดเปลี่ยนมากมาย จากวัยไฟวัยฝันสู่วัยตกตะกอน และมีโอกาสได้มาติดต่อกันอีกครั้ง ผ่าน social network ซึ่งเราหลายคนยกให้เป็นผู้มีพระคุณ เพราะมันทำให้เราหากันจนเจอ

ทุกคนต่างมีหน้าที่การงาน มีตำแหน่งแห่งที่ที่ชัดเจน มั่นคงทั้งทางสังคมและทางใจกันในระดับหนึ่ง ดูมีความเชื่อมั่นและมั่นใจกับชีวิตมากขึ้น นี่คงเป็นฝีมือของคำว่าประสบการณ์  แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนไม่เคยเปลี่ยนคือ รอยยิ้มเมื่อแรกพบกันในปี พ.ศ 2534  มาจนถึงวันนี้ 2554 มันยังเหมือนเดิม

และน่าแปลกเพลงที่ฉันเลือกร้องในคืนนี้ ก็เป็นเพลง...เหนื่อยมั้ยดาว...ที่เพื่อนฉันยังจำได้ว่า ฉันเคยร้องเมื่อตอนอยู่ปี 1....เราแลกเปลี่ยน พูดคุย อัพเดทชีวิตกันพอหอปากหอมคอ ที่เหลือปล่อยให้เป็นเวลาของการ แซว..กัด...จิก...หยอก...หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ส่วนฉันคงเป็นตับแข็ง เพราะซดไวน์โฮกๆๆ เหมือนไปตายอดตายอยากจากที่ไหนมา  แต่ฉันมักเป็นเช่นนี้เสมอ ในเวลาแห่งความสุขฉันชอบสุขแบบกึ่มๆ มันจะทำให้ฉันสุขมากขึ้น (ห้ามลอกเลียนแบบ ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำ) และทุกคนก็รู้สึกไมต่างกับฉัน  ต่างใช้ช่วงเวลานี้บันทึกเสี้ยวหนึ่งของชีวิตเอาไว้อย่างตั้งใจ เมื่อกลับไปมันคือหนึ่งในความทรงจำดีๆที่รอคอยให้เกิดขึ้นอีกหลังจากที่ต้องห่างกันไปอีกวาระ   ข้อดีของการจากกันมันคืออย่างนี้นี่เอง....มันทำให้เรามีความหวังและรอคอยที่จะได้เจอกันอีกในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเหมือนในคืนนี้
จนกว่าจะพบกันใหม่ อักษร 59 เรารักทุกคน

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เทวดากลับสวรรค์


วันนี้ฉันเขียนบทตอนสั่งลาของ sit com เรื่องเทวดา...สาธุ ซึ่งแบ่งกันเีขียนกับน้องที่เป็นทีมเดียวกันคนละครึ่ง...ส่งให้โปรดิวเซอร์....เมื่อกด send เรียบร้อย....ใจฉันหาย


ย้อนกลับไปเมื่อประมาณสามปีที่แล้ว ฉันเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งในทีมเขียนบทของละคร sit com เรื่องนี้ ทั้งๆที่ฉันยังไม่เคยเขียน sit comมาก่อนเลยในชีวิต ที่ผ่านมาได้แต่เขียนละครยาวและละครซีรีส์จบในตอน แต่ไม่ใช่ sit com...ฉันเต็มใจที่จะเข้าไปร่วมทีม แต่ฉันไม่มั่นใจในฝีมือของตัวเอง

กว่าจะคลอดตอนแรกที่พอจะผ่านด่านโปรดิวเซอร์ไปใช้ในการถ่ายทำได้ ใช้เวลากว่าสามเดือน เป็นสามเดือนที่ฉันไม่้ได้มีรายได้จากที่ไหน เพราะขณะนั้นยังไม่มีละครยาวให้เขียน เทวดา...สาธุจึงเป็นแหล่งรายได้เพียงที่เดียว  แต่เป็นสามเดือนที่หากยังไม่มีบทใช้ถ่ายทำ ก็จะยังไม่ได้รับเงินตอบแทน จึงเป็นสามเดือนที่ฉันต้องอดทนรวมถึงทนอด เพื่อพิสูจน์ว่า...มันต้องเขียนได้สิวะ

เพราะฉันต้องปรับ ต้องจูนและต้องเปลี่ยนวิธีคิดเพื่อเป็น "เทวดา...สาธุ" ให้ได้ตามโจทย์ ซึ่งต้องใช้เวลาและต้องให้เวลากับมัน ตอนแรกผ่านด่านโปรดิวเซอร์ไปได้ แต่เมื่อถึงด่านผู้กำกับฯ คอมเม้นต์ที่ได้คือ "ฉันไม่ชอบ บทมันงงๆ"....ก็หนูเขียนแบบงงๆนี่คะป้า แล้วลูกหนูมันจะไม่งงตามแม่มันได้ยังไง

แต่ฉันก็ยังดื้อและด้านอยู่ร่วมทีมต่อไป แก้ใช่มั้ย....ได้....ห้าร่างใช่มั้ย...ไม่มีปัญหา...ประกอบกับภาวะวิกฤติเรตติ้งต่ำ ความกดดันจึงตกอยู่ที่ทีมเขียนบทเป็นด่านแรก มันยิ่งเพิ่มความหนักหนาจนรู้สึกได้ถึงความแสนสาหัสกว่าจะเขียนบทจนสำเร็จได้หนึ่งตอน จนแอบคิดไม่ได้ว่า....คุ้มมั้ยเนี่ย  และแอบคิดด้วยว่า จะลาออกดีมั้ยเนี่ย...แม่งยากเหลือเกิน.....แต่ฉันก็ยังอยู่ 

ฉันรู้ว่าการเขียน sit com ไม่ใช่โปรไฟล์ใหญ่โตสำหรับคนเขียนบทบางคน แต่สำหรับฉัน มันคือพื้นที่ที่ฉันจะได้ทำความดีผ่านสิ่งที่ฉันถนัด ถึงจะยังทำได้ไม่ดี ก็ควรจะทำต่อไปให้มันดี  และฉันก็ผ่านพายุไซโคลน ทอร์นาโด ทวิตเตอร์ ไต้ฝุ่นและสารพัดวิกฤติมาได้....ในขณะที่เพื่อนร่วมทีมหลายคนค่อยๆเฟดหายไปด้วยเหตุผลและวาระต่างๆกัน  สุดท้ายจากทีมบทอันหนาแน่นถึงหกคนก็เหลือเพียงเดนตายสองคน ที่ยังคงมาประชุม สาดมุขกันอย่างที่เราให้คำจำกัดความว่า "ไม่ระยำทำไม่ได้" ทั้งๆที่มันเป็นละครส่งเสริมคุณธรรมที่มีความดีเป็น Theme....แต่เพราะเรารู้จักความชั่วเราเลยมองเห็นความดีไงคะ คุณผู้ชม....และแล้วก็มาถึงโค้งสุดท้าย  ทีมเราก็ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ที่ให้ใจเต็มร้อยเพิ่มมาอีกคน

ช่วงโค้งสุดท้าย เป็นการประชุมที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา พวกเรารู้สึกว่า เรามากันถูกทางสำหรับบทของรายการที่อยู่ในช่วงเวลาโคตรดึกของวันอาทิตย์....เรตติ้งเป็นฉันใด เราไม่ได้สนใจอีกต่อไปแล้ว เงินค่าบทได้แค่ไหน เราก็ไม่ได้เอามาเป็นสาระ ขอแค่นักแสดงสนุกที่ได้เล่น ขอแค่มีสิ่งที่พวกเราอยากขีดเส้นใต้เพื่อบอกคนดูว่า....วันนี้เทวดาจะสอนอะไรให้กับมนุษย์ขี้เหม็นๆ ผ่านสถานการณ์เตี้ยๆ ต่างๆ (เตี้ย เป็นคำเดียวกับคำว่าเหี้ย ที่เราชอบใช้แทนกัน)....คนอื่นคิดยังไง ฉันไม่รู้ แต่ฉันคิดอย่างนี้

ตอนสุดท้าย....มันมาเร็วมาก อาจจะพอได้กลิ่นมาบางๆ แต่ก็เข้าใจ ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เป็นสัจธรรม แต่แค่ใจหายที่กิจวัตรบางอย่างของชีวิตหายไป จากที่เคยไปเที่ยวชุมชนเทวาพิทักษ์ ได้เห็นพฤติกรรมที่น่าปวดหัวของโกตัน เสี่ยกวง เพชร จ๊อด สำรวม....คนที่ไม่เคยเรียนรู้ความผิดพลาด สร้างความวุ่นวายได้ทุกครั้งที่โอกาสอำนวย  ได้เห็นความเพี้ยนของพลอยใส...ผู้หญิงสวย ความคิดดีแต่ก็สามารถทำผิดได้ ได้เห็นพัฒนาการของสาวน้อยสำลี...จากเด็กมัธยมต้นเจ้าความคิด ก็เติบโตเป็นสาวน้อยวัยใส ที่คอยปรามผู้ใหญ่วัยทองให้ได้สติ...ได้ขอพรเทวดา...สาธุ และเทวัญ....แรงดลใจ อำนาจฝ่ายดีของมนุษย์ที่น่านับถือ ได้ต้อนรับโมทนา เทวดาท่าจะบ๊องส์ที่เข้ามาสร้างสีสันในการสั่งสอนและแก้เผ็ดมารอย่างภีมะ....มารตัวดำที่น่าเอ็นดูในสายตาของฉัน....มารที่เทวดาไม่เคยกำจัดได้สำเร็จ เหมือนจะบอกกับทุกคนว่า ตราบใดที่มนุษย์ยังมีกิเลส ตราบนั้นภีมะก็จะยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ตัวทุกคน

ฉันกด send ส่งบทตอนสุดท้าย....นั่งมอง email address ของเทวดา...สาธุ ที่ชื่อ tewadasatuee@gmail.com อีกครั้ง...นึกภาวนาถึงเทวดาต้นไทร  ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ส่งสา่รถึงเทวดา ขอให้ได้รับรู้ ท่านจะอยู่ในหัวใจของเราตลอดไป เพราะเราเชื่อว่า....เราทุกคนคือเทวดา เทวดา คอยรักษาตัวเอง ไม่ต้องคอยให้ใครเอื้อมมือ ไม่ต้องคอยให้ใครนับถือ ศรัทธาและความดีงามอยู่ในตัวเธอ...สาธุ

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เบื่อๆแล้วทำอะไร

มีพี่ที่เคารพถามฉันว่า "เบื่อๆแล้วแกทำอะไรวะ แหม่ม"

แวบแรกของความคิด ฉันถามตัวเองว่า "เคยเบื่อมั้ย" ไม่นะ แต่โคตรเบื่อถึงขั้นเซ็งไปเลยล่ะ สมองรีบประมวลความคิดต่อไป เพื่อตอบคำถาม "ฉันไม่ได้ทำอะไร แต่รีบกำจัดความคิดนั้นทิ้งไป แล้วเดินหน้าอยู่กับสิ่งที่ทำให้ตัวเองเบื่อและเซ็งต่อไปให้ได้ ให้เสร็จ ให้จบ!!!" แต่ฉันไม่ได้ตอบพี่ที่เคารพไปอย่างนั้น

ฉันตอบพี่เขาไปว่า "ไปดูหนังพี่" และ "ขับรถไปไหนก็ได้เรื่อยเปื่อยพี่" และ "นอนพี่"....ฉันไม่ได้พูดโกหก ฉันทำสิ่งเหล่านี้จริงๆ แต่ไม่ได้ทำตอนที่เบื่อ แต่ทำหลังจากที่ผ่านอารมณ์เบื่อมาแล้ว เหมือนกับการปลดปล่อย และให้รางวัลตัวเอง เข้าทำนอง "ซะหน่อย" นี่ถ้าโสดๆ มันคงไม่ใช่แค่การเดินเข้าโรงหนังคนเดียว หรือขับรถไปเที่ยว...แต่คงแบกกระเป๋าสะพายเป้ ออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่งสักพัก  แต่บางทีการพูดสิ่งที่ตัวเองคิดไปจริงๆ...อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่เข้าใจ

การแก้ปััญหาและหาทางออกของคน มันไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือทุกคนต้องประสบภาวะเบื่อ เซ็ง ท้อแท้มาด้วยกันทั้งนั้น บางคนก็ก้าวข้ามมาได้แบบสบายๆ เพราะรู้จักวิธีจัดการปัญหาและอารมณ์ตัวเอง บางคนกลับผ่านไปได้อย่างยากลำบาก และบางคนยังหลงเวียนวนอยู่ในนั้น โดยไม่มีทีท่าว่าเมื่อไหร่ถึงจะหายดี

ฉันยังเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ที่บางครั้งก็ตกเป็นเหยื่ออารมณ์ ทำให้ตัวเองจ่อมจม ซึมเศร้า หม่นหมองได้....แต่คงในชั่วเวลาที่ไม่นานนัก เพราะชีวิตประจำวันล้วนมีหน้าที่และความรับผิดชอบรออยู่มากมายก่ายกอง จนแทบไม่เหลือเวลาและพื้นที่ให้ตัวเองได้ดราม่าสักเท่าไหร่  นานๆเข้ามันก็กลายเป็นความเคยชิน  อยากจะตอบคำถามพี่ที่เคารพไปว่า "หนูเบื่อไม่ได้พี่" และก็อดพูดกับตัวเองไม่ได้ว่า "เบื่อๆบ้างก็ได้นะ จะได้ไม่ลืม ว่าแกเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เรียกว่าคน"

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วันแรกก็โดนซะแล้ว

เธอเดินทางฝ่าการจราจรที่ติดขัด ทั้งๆที่สภาพร่างกายยังอิดโรยจากอาการฟื้นไข้ แต่มันไม่มีทางเลือก....เงินค่าจ้างจากการทำงาน...เธอต้องรีบไปเอามันมาเพื่อสำรองไว้ในกระเป๋า ครอบครัวที่ยังต้องเลี้ยงลูกเล็กๆ การไม่มีเงินสำรองไว้ภายในบ้าน มันหมายถึงความสิ้นหวัง และเธอก็เคยสิ้นหวังมานับครั้งไม่ถ้วนจนรู้รสชาติของมันดี และไม่อยากจะลิ้มรสมันอีก
......เธอรีบจัดการแปรสภาพกลายเป็นเงินสด รู้สึกอุ่นใจขึ้นทันทีทันใด ไม่มีอะไรทำให้เธอมั่นคง มั่นใจและปลอดภัยได้เท่ากับมิสเตอร์เอ็มอีกแล้ว (มิสเตอร์เอ็ม= Mister Money) ลืมมิสเตอร์แมนไปได้เลย...เธอรีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านที่เกิดจากอาการน้อยใจใครบางคนที่เธอพยายามจะแทนที่ด้วยอากาศ ก่อนจะเดินดิ่งไปจัดการรับเสื้อนักเรียนลูกที่สั่งปักชื่อเอาไว้ชนิดเร่งด่วน เพราะเปิดเทอมแล้ว และเธอเพิ่งจะมีเวลาเอามามันมาจัดการให้ลูกเมื่อไม่กี่วันมานี้  นี่ก็ด่วนสุดๆแล้วนะ...เจ้าของร้านบอกเธออย่างนั้น  ก็จะทำยังไงได้ ในเมื่อทำเองไม่เป็น ก็ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ อย่าให้ต้องปักเสื้อเป็นอีกอย่างหนึ่งเลย เท่านี้ก็เกือบจะคิดว่าตัวเองเป็นมีดแมกไกวเวอร์อยู่รอมร่อแล้ว

รับเสื้อนักเรียนเสร็จก็รีบสับขาประหนึ่งแข่งเดินเ็ร็วไปยังร้านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ "จริง" ที่เธอไม่เคยเชื่อว่ามันจะ "จริง" ต้องมีตุกติกอะไรบนใบแจ้งหนี้บ้างแหละ เพียงแต่เเธอจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน  จ่ายหนี้ค่าปัจจัยที่ห้าเรียบร้อย เธอก็รีบใส่เกียร์สูงสุด ทำความเร็วไปที่รถ เพื่อกลับบ้านไปดูแลลูกน้อยหอยสังข์ที่ได้เวลาเลิกเรียนกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว ก็มันปาไปเกือบห้าโมงเย็นแล้วนี่เนาะ.....เธอคิด นักเรียนอนุบาลหนึ่งป้ายแดงจะเป็นไงบ้างน้อ

จอดหน้าบ้านปุ๊บ กระโดดลงจากรถเปิดประตูบ้านปั๊บ กำลังจะเอารถเข้าบ้าน พลางตะโกนถามหาลูกน้อย หวังจะเห็นใบหน้าอ้วนกลม ผูกผมแกละวิ่งเข้ามาจีบปากจีบคอรายงานสถานการณ์ แต่.....ยังกลับมาไม่ถึงบ้านเลย....ยายของลูกน้อยกลายเป็นคนรายงานสถานการณ์แทน...ยายเองก็ร้อนใจ แต่ไม่รู้จะติดต่อหาเธอได้อย่างไร เพราะโทรศัพท์บ้านก็ดันมาเสีย  หัวใจเธอหล่นวูบ ร่วงลงมาอยู่ที่ปลายเท้า คิดอะไรไม่ออก วิ่งกลับไปที่รถ เข้าเกียร์ถอยหลัง เหยียบคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว ตะโกนเสียงดังลั่นอยู่ภายในรถ...."ลูกฉันอยู่ไหน!!!!" น้ำตาเอ่อล้นขอบตา ร่วงเผาะๆ หยดน้ำใสๆอุ่นๆคงจะเรียกสติเธอให้กลับคืนมาได้บ้าง เธอรีบกดโทรศัพท์มือถือหาเพื่อนบ้านที่มีลูกกลับรถโรงเรียนคันเดียวกัน

แต่เพื่อนบ้านไม่ได้ดูตระหนกตกใจแต่อย่างใด  กลับบอกฉันว่า....เขาคงอาจจะรอกลับพร้อมพี่ประถมมั้งคะ...แมร่งเอ๊ย เอาอะไรคิดแว๊!!!!!  (คำสบถนี้เธอพ่นอยู่ในใจ) ช่างเป็นเหตุผลที่ทำให้ใจเย็นขึ้นได้มาก...มันไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เด็กอนุบาลที่เลิกเรียนบ่ายสองสิบห้า แต่จะห้าโมงเย็นแล้วยังไม่ถึงบ้าน ทั้งๆที่บ้านอยู่ที่ห่างจากโรงเรียนไม่ถึงห้ากิโลเมตรโว้ย!!!!....พลันเธอก็คิดได้ เพื่อนบ้านคนนั้นมีเบอร์คนขับรถตู้ เธอสั่งเพื่อนบ้านผู้แสนจะใจเย็นและมีเหตุผลให้โทรเช็คด่วนทันที!!!!

แล้วไม่เกินสิบนาที....ลูกน้อยหอยสังข์ของเธอก็เดินทางถึงบ้าน...ครูให้เหตุผลว่า "ติดประชุมด่วนค่ะ ขอโทษด้วย"....ระเบิดนาปาล์มทำงานทันที ให้ผลทำลายล้างสูงมาก....แล้วทำไมไม่โทรบอกผู้ปกครองสักนิดล่ะคะ!!!!....ครูอึ้ง พูดได้คำเดียวคืิอ ขอโทษจริงๆค่ะ....ความคิดจะเอาลูกน้อยออกจากโรงเรียนนี้เข้ามาในสมองของเธอทันที....แต่ยังก่อน มันยังไม่สะใจ เธอหมายมั่น รอให้ถึงพรุ่งนี้ เธอจะขนระเบิดไปถล่มถึงโรงเรียนอีกลูก....เอาให้ราบเป็นหน้ากลอง ฐานมองไม่เห็นความสำคัญของความรู้สึกพ่อแม่เด็กนักเรียนที่ให้ความเชื่อมั่นเอาลูกมาฝากฝัง ทำไมเธอถึงได้ถูกปฏิบัติด้วยคำว่า "ยังไงก็ได้" อีกแล้ว หลังจากที่ชอกช้ำกับมันมาหลายครั้ง  ช่วยไม่ได้ที่ครั้งนี้จะเป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่เธอจะลุกขึ้นมาทวงสิทธิ์ และแสดงออกซึ่งสิทธิ์ของตัวเองที่คนอื่นควรจะให้ความเคารพ....see you tomorrow !!!!

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หนูจะไปต่อแถวรถไฟปู๊นๆ

เช้าวันที่สองกับการเริ่มชีวิตนักเรียนอนุบาล 1
เมื่อคืนเพิ่งบอกว่า "หนูไม่ไปโรงเรียน หนูจะอยู่บ้านคนเดียว" แต่เช้านี้อ้วนก็ยอมลุกจากที่นอนและไปอาบน้ำแต่โดยดี  เพราะเจอแม่สร้างเรื่องหลอกล่อจนตายใจว่า "ไปเอาชุดพละกับชุดนอนไงลูก ครูยังไม่ไ่ด้ให้หนูมาเลย"  เป็นแม่คนจำเป็นต้องมีคุณสมบัติในการสร้างเรื่องเก่งด้วยอีกข้อหนึ่ง แต่ย้อนคิดอีกทีนี่มันดีหรือไม่ดีหว่า...เป็นการโกหกอันชอบธรรมเสียนี่กระไร ฉันทำให้ลูกเรียนรู้ที่จะโกหกแทนที่จะยอมรับความเป็นจริงหรือเปล่า หรือจริงๆแล้วฉันควรบอกลูกไปตรงๆว่าเธอต้องไปโรงเรียน เพราะบลา บลา บลา....หรือว่าฉันคิดมากไปหรือน้อยไป  แต่ที่รู้ๆ ฉันไม่ได้หยุดการ "สร้างเรื่อง" เพียงแค่นั้น

"คุณแม่คะ ไปรอน้องข้างนอกนะคะ ให้น้องชินกับการอยู่กับเพื่อนกับครูนะคะ" ครูแหม่ม..ครูประจำชั้นที่มีชื่อเหมือนฉัน(แต่แก่กว่าฉัน...ย้ำ) เข้ามากระซิบ เพราะต้องการให้ลูกปรับตัวได้มากขึ้น เมื่อต้องจากอกพ่ออกแม่มาสู่สังคมใหม่ สังคมที่ลูกจะได้เจอคนอื่น  ฉันมองหน้าอ้วนที่นั่งแหมะบนตักฉัน ไม่ยอมไปเล่นกับเพื่อนคนอื่นตั้งแต่มาถึงด้วยความรู้สึก....โถ...ลูก...แต่ฉันก็ต้องยอมทำตามที่คุณครูบอก

จากประสบการณ์ที่ส่งลูกคนแรกเข้าอนุบาลและผ่านมันมาได้ ทำให้ฉัน "เข้มแข็ง" เมื่อต้องส่งต่อลูกคนนี้ให้กับคุณครู ไม่รีรอที่จะทำตามคำขอร้อง ไม่อ้อยอิ่งหอมแก้มลูกฟอดแล้วฟอดเล่าเหมือนอย่างที่เคยทำกับลูกคนแรก  ฉันอุ้มอ้วนส่งให้ครูแหม่มแล้วกระซิบว่า "เขาแรงเยอะมากเลยนะคะ" เพราะรู้ฤทธิ์ลูกตัวเองเวลาโกรธดีว่า "ฟาดงวงฟาดงา...แปร๊น!" ขนาดไหน ครูแหม่มยิ้มสู้  ทำให้ฉันรู้สึกว่าเป็นครูสอนนักเรียนอนุบาลต้องมีความอดทน...สุดๆ...อันเป็นคุณสมบัติอีกข้อหนึ่งนอกเหนือจากรักเด็ก  แล้วฉันก็บอกลูกว่า "เดี๋ยวแม่ไปตามพี่ออยมาหาหนูนะ"......พี่ออยคือเพื่อนแถวบ้านของอ้วน ซึ่งปีนี้อยู่ชั้นอนุบาล 3 และอยู่โรงเรียนเดียวกัน....อ้วนยอมไปหาครู แต่หันมามองแม่ด้วยสายตาหวาดหวั่นและไม่แน่ใจกับสิ่งที่แม่บอกเขา....ฉันเดินออกมา ส่งสายตาขอโทษลูก....แม่จำเป็น

ฉันรีบดิ่งตรงไปที่รถ ตัดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ คิดในใจ มันก็ต้องแบบนี้แหละ ร้องหาแม่แค่อาทิตย์เดียว เดี๋ยวเดียวก็ลืมเรา แล้วไปสนุกกับเพื่อนกับของเล่นกับกิจกรรม...แต่แค่อาทิตย์เดียวนี่แหละ มันยาวนานเหมือนเป็นปีในความรู้สึกของเรา  แต่ยังไงฉันก็ต้อง...ผ่านมันไปให้ได้ เพราะฉันเคยผ่านมันมาแล้ว และฉันก็ทำได้...

ฉันไปนั่งทำงานสองสามชิ้น ก่อนเดินทางไปประชุมงาน โดยไม่คิดถึงหน้าอ้วนอีกเลย  มาคิดอีกทีก็ตอนที่ได้เวลารถตู้รับส่งของโรงเรียนต้องมาส่งอ้วนที่บ้าน....หลังจากที่ฉันตัดสินใจหักดิบ ให้ลูกทดลองกลับรถโรงเรียนเลย ทั้งๆที่ตอนแรกตั้งใจจะไปรับส่งก่อน....เรื่องนี้ ฉันไม่ได้สร้างเรื่องโกหกลูก...แต่ไม่ได้บอกอะไรกับลูกเลย...ปล่อยให้ลูกไปเจอเอาดาบหน้า....กลัวเหลือเกิน กลัวว่าลูกจะโกรธ และไม่ไว้ใจ แต่...แม่จำเป็นลูก

ป.ล.
อ้วนลงจากรถโรงเรียน สะพายเป้ข้างหลัง หน้ายิ้ม มาเล่าให้ยายฟังเป็นฉากๆ พูดเร็วปรื๋อจนฟังไม่ทัน แต่จับใจความได้ว่า...อ้วนต่อแถวเป็นรถไฟปู๊นๆ ไปกินข้าวกับแกงจืดวุ้นเส้น มีไส้กรอก กินหมดด้วย แล้วนั่งรถโรงเรียนมาส่งบ้าน มีเพื่อนสองคน เป็นผู้ชายกับผู้หญิง ชื่อเพื่อนๆ มีเพื่อนตัวอ้วนๆปาของ มันนิสัยไม่ดี ครูดุเลย" 
เมื่อฉันเจอลูก แล้วถามว่า "ไปโรงเรียนสนุกมั้ยลูก" อ้วนพยักหน้าหงึกๆ "อือ! หนูไปต่อแถวรถไฟปู๊นๆ ไปกินข้าวกับแกงจืดวุ้นเส้น มีไส้กรอก กินหมดด้วย แล้วนั่งรถโรงเรียนมาส่งบ้าน มีเพื่อนสองคน เป็นผู้ชายกับผู้หญิง ชื่อเพื่อนๆ มีเพื่อนตัวอ้วนๆปาของ มันนิสัยไม่ดี ครูดุเลย หนูทาแป้งที่หน้าด้วย แล้วครูก็ให้ต่อแถวรถไฟ ไปขึ้นรถตู้....." ฉันนั่งฟังลูกเล่าเรื่องต่างๆที่ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนฉายหนังวนอย่างไม่นึกเบื่อเลยแม้สักนิด กลับอยากให้เขาเล่าให้ฟังไปเรื่อยๆ และเรื่อยไป

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

ครั้งหนึ่งในชีวิต

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2554
ฉันไปประชุมในฐานะ "คนเขียนบท" ของละครเพลงเทิดพระเกียรติในหลวง "ความฝันอันสูงสุด" The Musical for the King ที่มีกรมประชาสัมพันธ์เป็นเจ้าภาพ ดำเนินงานโดยบริษัท Phoenix Agency จำกัด กำกับการแสดงโดย พี่ต้อ มารุต สาโรวาท นำแสดงโดยนักแสดงชั้นนำของเมืองไทย เช่น พอร์ช ศรันย์  จ๊ะ จิตตาภา สุรชัย สมบัติเจริญ ชรัส เฟื่องอารมย์ นึกคิด บุญทอง รุ้งลาวัณย์(หนูหิ่น) เป็นต้น และมีพี่เอ๋ นรินทร ณ บางช้างเป็นผู้ผลิตเพลงและควบคุมการฝึกสอนร้องเพลง  วันนี้เป็นวันแรกที่ได้เจอหน้าค่าตาทีมงานทั้งหมดและพูดคุยทำความเข้าใจในตัวเรื่อง ซึ่งพูดถึง ความฝันอันสูงสุดของพ่อที่ต้องการเห็นลูกๆมีความสุขบนวิถีแห่งความพอเพียง และรักสามัคคีกัน

เมื่อลงรายละเอียด ใช้เวลาไปกับการพัฒนาเรื่อง พัฒนาตัวละคร และพัฒนาบทจนจบร่างเกือบสมบูรณ์ ความรู้สึกภายในหัวใจฉันกลับไม่จบ ฉันอาสาทำงานเพิ่มเพื่อขอเดินทางร่วมไปกับทีมโปรดักชั่นในการผลิตละครเพลงเทิดพระเกียรติเรื่องนี้จนถึงวันแสดง ด้วยเหตุผลเดียว...ฉันรักในหลวง

วันที่ 9 มิ.ย 2554 จะเป็นวันที่มีการถ่ายทอดสดละครเพลงเรื่องนี้จากสนามรัชมังคลาภิเษกที่มีคนเข้าชมการแสดงกว่า 70,000 คน ไปทั่วประเทศและที่สำคัญ....ในหลวงจะทอดพระเนตรการถ่ายทอดสดนี้จากจอยักษ์ใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ท่าน้ำศิริราช....ครั้งแรกและอาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตของฉันที่จะมีโอกาสได้ร่วมถ่ายทอดความจงรักภักดีผ่านสายตาของพ่อ


พี่ต้อมารุตพูดกับนักแสดงถึงหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ได้จับใจฉันเหลือเกิน....พ่อไม่ได้สอนให้เราปฏิเสธความเจริญ เพียงแต่จะนำมาใช้อย่างไรโดยไม่ให้เราต้องสูญเสียความเป็นตัวตนที่ดีงาม ใช้อย่างไรให้พอเหมาะพอดี ไม่เกินแต่ก็ไม่ขาด เพื่อให้เรามีความสุขอย่างยั่งยืน ซึ่งนี่คือความฝันอันสูงสุดของพ่อที่ตรากตรำทำงานหนักมาตลอดเวลา ไม่มีวันหยุด ไม่มีเสียงบ่นว่าเหนื่อยให้เราได้ยิน เหงื่อของพ่อที่หยาดหยดแต่พ่อไม่ได้ใส่ใจ กลับลงนั่งบนพื้นพิงล้อรถ กางแผนที่แล้วให้คำแนะนำเพื่อช่วยเหลือลูกๆทุกคนในทุกตารางนิ้วของประเทศนี้ให้อยู่ดีกินดี  หลายๆครอบครัวได้พ้นจากสภาพหลังชนฝา จนยิ่งกว่าหมา (อันนี้ฉันเขียนเอง พี่ต้อไม่ได้พูด) พลิกฟื้นจากชีวิตที่ติดลบมามีชีวิตใหม่และร่ำรวยความสุข ...พ่อเหนื่อยมามากเหลือเกิน สมควรเหลือเกินที่คนอายุ 84 ปีที่นอนป่วยอยู่ที่ศิริราชควรที่จะได้พักผ่อน แต่ก็ยังพักไม่ได้ เพราะอะไร...จะให้พ่อมีความสุขได้อย่างไร ในเมื่อทุกวันนี้ลูกๆยังตีกัน...

พี่ต้อพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ขาดห้วงเพราะพยายามข่มอารมณ์ให้เป็นปกติต่อหน้านักแสดงและทีมงานทุกคนที่คงมีความรู้สึกไม่ต่างไปจากพี่ต้อ ทุกคนที่มารวมตัวกัน ณ ตอนนี้ไม่ได้รับงานเพราะมันเป็นอาชีพเพียงอย่างเดียว แต่ทุกคนมาด้วยหัวใจที่อัดแน่นไปด้วยความจงรักภักดี  เมื่อนับถอยหลังเวลาสำหรับการซ้อมเหลือไม่มาก ทุกคนกริ่งเกรงว่าจะทำงานกันทันหรือไม่ เพราะขั้นตอนของการผลิตละครเวทีที่เป็นละครเพลงมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ  แต่ฉันเชื่อในพลังความศรัทธา เมื่อทุกคนมีในหลวงอยู่ในหัวใจ ไม่ว่าจะเจอกับอุปสรรคที่ยากเย็นมากแค่ไหน...ทุกคนจะต้องก้าวข้ามไปได้ในที่สุด


ฉันไม่รู้หรอกว่ามีปัจจัยอะไรที่ทำให้ความฝันอันสูงสุดของพ่อยังไม่เป็นความจริง  ฉันไม่รู้หรอกว่าคนไทยทั้งหมดกว่า 60 ล้านคนจะมีพลังแห่งความศรัทธาเหมือนฉันหรือไม่  แต่ฉันรู้ดีว่า....สิ่งที่พ่อสอน สิ่งที่พ่อทำมาตลอดเป็นสิ่งที่ฉันสามารถลงมือปฏิบัติตามได้โดยไม่มีความลังเลสงสัย เพราะพ่อสอนในสิ่งที่เป็นธรรมะ เป็นความจริง พ่อไม่ได้พาพวกเราไปตาย แต่กำลังพาพวกเราไปสู่การมีชีวิตที่ดีและมีความสุข  มีแต่พวกหัวใจมืดบอดเท่านั้นที่มองไม่เห็นรอยเท้าพ่อและไม่ได้ยินเสียงของพ่อ



วันนั้นฉันจะร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีกับคนไทยกว่า 70,000 คนจากสนามรัชมังคลาภิเษกและคนไทยทั่วประเทศที่ชมการถ่ายทอดสดทาง สทท.ช่อง11 อย่างสุดเสียง โดยไม่สนใจว่าจะร้องเพี้ยนหรือไม่ เพราะไม่ว่ายังไงมันก็ต้องเพี้ยนอยู่แล้ว  คนอย่างฉันแค่หายใจยังเพี้ยน (พี่เอ๋ นรินทรบอกไว้ แต่ฉันขอปฏิเสธ ไม่ใช่แค่ลมหายใจที่เพี้ยน ชีวิตฉันทั้งชีวิตมันก็เพี้ยน) แต่ฉันจะร้องออกมาให้สุดพลัง สุดขอบโลก ให้กึกก้องไปจนถึงโรงพยาบาลศีิริราชโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องขยายเสียง ไม่ต้องพึ่งองค์ประกอบใดๆ มีเพียงหัวใจที่หล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับคนไทยทุกคน  หัวใจที่รักพ่อ อยากให้พ่อมีความสุข อยากให้พ่อรับรู้ถึงพลังแห่งความรักความศรัทธาที่คนไทยทุกคนมีต่อพระเจ้าแผ่นดินผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยทิ้งแผนที่ประเทศไทยให้ห่างมือ....King of King...ทรงพระเจริญ





วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

วันขวัญกระตุก!!!!

ฉันส่งงานที่ได้รับมอบหมายตามหน้าที่ แต่งานของฉันไม่ใช่งานที่แค่ทำให้เสร็จ แต่มันเป็นงานที่ต้องมีจิตวิญญาณอยู่ในนั้น ซึ่งงานของฉันชิ้นนี้...ไม่มี เป็นคำวิจารณ์จากเพื่อนร่วมทีมที่รู้สึกว่างานของฉันผิดฟอร์ม...ฉันตกใจ นี่ขนาดแค่ทีมวิจารณ์ แล้วถ้าคนตรวจงานได้อ่านแล้วฉันไม่ต้องลงหลุมเลยหรือไร

ไม่มีอะไรจะน่าสิ้นหวังสำหรับนักเขียนมากไปกว่าคนอ่านไม่รู้สึกถึงวิญญาณและความมีชีวิตเมื่ออ่านจบ....ฉันผิดหวังกับตัวเองและเกิดจินตนาการไปไกล ฉันอาจจะถูกถอดจากงานชิ้นนี้ ยังไม่พอ...ฉันไปไกลกว่านั้น ฉันมาถึงจุดจบของอาชีพนี้แล้วหรือ คิดวนเวียนอยู่ในหัวจนไม่มีสติจะทำอะไรอย่างอื่น ฉันตัดสินใจโทรศัพท์หาบุุคคลดังต่อไปนี้

ที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณ....เขาไม่รับสาย ไม่เป็นไรโทรหาเพื่อนรัก....อืมได้คำปลอบใจและคำด่าในเวลาเดียวกัน จะคิดไปไกลเกินกว่าเหตุมั้ย นี่เป็นเรื่องปกติสำหรับการทำงานที่ย่อมมีทั้งคำเยินยอสรรเสริญและ....การถูกปฏิเสธ แต่ไม่ได้หมายความว่า การถูกวิจารณ์หนึ่งครั้งคือการตัดสินประหารชีวิต  อืม...ก็อาจจะจริง เพราะที่ผ่านมา ฉันไม่ค่อยได้เจอปัญหาจากเรื่องงาน (นอกเสียจากว่าไม่มีงานทำกันไปเลย) มีเพียงชีวิตส่วนตัวที่เป็นปัญหา

วางสายจากเพื่อนรัก  หาทางออกและวิธีแก้ปัญหาที่ทำให้งานขาดพลัง  หนึ่งสองสามสี่ห้าหกวิธี กำลังตั้งสติได้ ที่ปรึกษาทางจติวิญญาณโทรกลับมา แต่ฉันตัดสินใจที่จะไม่ปรึกษาต้องการแก้ปัญหาทางจิตนี้ด้วยตัวเอง...แต่เอาซะหน่อยก็ได้ ฉันยิงคำถามทันที "พี่คะ หนูจะตกงานมั้ยอ่ะ"...อีนี่...ไม่หน่อยแล้วนะ มันแสดงถึงความเยอะชัดๆ

"เพราะสมาธิกระจัดกระจาย ด้วยเรื่องมากมายที่ต้องคิด ต้องสวดมนตร์ทำสมาธิก่อนทำงานและที่สำคัญ ควรนั่งทำงานในที่สงบเงียบ การเลี้ยงลูกไปทำงานไป...งานที่ออกมามันจะไม่ดีหรอก...ทำอย่างนี้แล้วเขาจะชอบงานของเรา"...ถูกใจใช่เลย นี่คือทางสว่างทำให้เกิดปัญญา เหมือนได้เกิดใหม่หลังจากรู้สึกเหมือนตายไปแล้วชั่วระยะหนึ่ง

จากอาการจิตตกพลิกกลับมาเป็นอาการจิตเบิกบาน และบานมากกว่าเดิม ฉันพร้อมตั้งรับคำวิจารณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มและคำพูดสั้นๆว่า....หนูจะสู้ค่ะ....โดยให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ฟูมฟาย จะไม่โยนความผิด จะไม่ ฯลฯ....เห็นมั้ยว่าฉันเป็นนางจินจริงๆ (หมายถึงจินตนาการไปไกลได้เสมอ)


แล้ววันพิพากษาก็มาถึง แต่...มันไม่เลวร้ายอย่างที่คิด แต่...ไม่ได้หมายความว่าคนตรวจงานไม่ได้รู้สึกเหมือนที่เพื่อนร่วมทีมฉันรู้สึก....งานฉันมันไม่มีวิญญาณ แต่วันนี้ฉันมาด้วยจิตเบิกบาน ด้วยรอยยิ้มและคำพูดสั้นๆ...หนูจะสู้ค่ะพี่....เพราะหัวใจฉันเปิดรับและตั้งใจรับกับสถานกรณ์เอาไว้แล้ว ฉันจึงไม่เกิดอาการปลาช็อคน้ำเย็นเหมือนก่อนหน้านี้  ฉันรับฟังคำวิจารณ์ด้วยใจสงบ และตื่นตัวที่จะรับฟัง จดบันทึกไว้ในสมองว่านี่คือบทเรียนสำคัญของชีวิต  ที่ถูกกระตุกให้หันกลับมามองตัวเอง และฉันก็ได้เห็นว่าตัวเองกำลังทำทุกอย่างด้วยอาการหลังพิงเชือกชกไปวันๆ ควรจะลุกขึ้นมาขยันเต้นฟุตเวิร์คบ้างไรบ้าง ก่อนจะถูกน็อคร่วงลงสลบคาพื้นเวทีโดยที่ยังไม่หมดยก

ป.ล พี่สาวคนงามบอกว่า...ชีิวิตจริงอย่าไปเยอะกับมัน...น้อยๆ...แต่ให้มาเยอะกับงานแทนดีกว่านะ...ฉันรู้แล้วล่ะว่าจะแต่งตั้งใครเป็นที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณนัมเบอร์ทู หุหุหุ

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สิ่งที่ยังหลงเหลือเมื่อผ่านกาลเวลา





กาลเวลาไม่ได้เป็นผู้ทำลาย แต่เป็นตัวทำละลายประสบการณ์และความคิดให้ตกตะกอน...จนก่อเกิด "การเรียนรู้จากความผิดพลาด"

ฉันเดินทางไปจังหวัดอยุธยากรุงเก่าของเราแต่ก่อน  คิดถึงเนื้อเพลงที่ครูเคยสอนตอนเด็กๆ ยังจำเนื้อร้องได้ถึงตอนจบ แต่ยังคงร้องเพี้ยนเหมือนเดิม กาลเวลาไม่ได้ทำให้ฉันร้องเพลงดีขึ้น แต่ทำให้ฉันเรียนรู้ว่า ควรไปคาราโอเกะให้บ่อยขึ้น...จะฮาไปไหน เข้าเรื่องดีกว่า ทริปนี้เราสามคนแม่ลูกทำตัวเป็นกาฝากขอติดสอยห้อยตามพ่อของลูกที่ต้องไปทำงานเป็นคอมเม้นเตเตอร์ของการประกวดวงดนตรีซึ่งเป็นไฮไลท์หนึ่งของงานประจำจังหวัด แต่คนส่วนใหญ่ของจังหวัดไปงานโต๊ะจีนที่จัดโดยกลุ่มคนเสื้อแดง...ฮาอีกแล้ว


วัดมหาธาตุเป็นสถานที่แรกที่ฉันพาลูกไปสัมผัส ลูกสาวคนโตดูสนใจจริงจัง ขอเดินไปทางนั้นทางนี้ ในขณะที่ฉันต้อง "อุ้ม" ลูกสาวคนเล็กที่ตัวไม่เล็กเดินดูภายในบริเวณโบราณสถานแห่งนี้เพราะกลัวพระไม่มีเศียรจนทำให้ไม่กล้าเดิน ทำให้ความพยายามที่จะดื่มด่ำกับร่องรอยประวัติศาสตร์ของฉันต้องปิดฉากลงในเวลาอันสั้น  มองกลับไปยังจุดที่จากมา ก็ต้องถอนใจเฮือก เกือบหนึ่งกิโลเมตรที่ต้องแบกก้อนเนื้อน้ำหนักยี่สิบสองกิโลกรัม ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น  เป็นบทเรียนราคาแพง รู้สึกเจ็บใจตัวเอง....ทำไมไม่เอารถเข็นเด็กติดมาด้วย!!!!  รถตุ๊กๆหน้าวัดคือคำตอบสุดท้าย

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันต้องแบกลูกสาวคนเล็กเพราะไม่มีรถเข็น ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลืมคิดไปว่าจริงๆแล้วเขาไม่ใช่เด็กโตที่จะเดินเป็นกิโลๆได้ เขาโตแต่ตัวเท่านั้น แต่ทำไมไม่รู้จักจำ...มนุษย์ไม่เคยเรียนรู้จากความผิดพลาด...ท่าจะเป็นความจริง นึกเปรียบเทียบกับสภาพผุพังของเหล่ากำแพง โบสถ์ วิหาร ปราสาทภายในบริเวณเมืองเก่าเหล่านี้ ก็เป็นความจริงเช่นเดียวกัน เมืองทองของเหล่าพี่น้องเผ่าพงศ์ไทยต้องพังพินาศด้วยเปลวไฟจากสงคราม จนเกินจะบูรณะซ่อมแซม  สร้างใหม่ง่ายกว่า จึงได้เกิดกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์สืบเนื่องต่อมา....ทุกคนเจ็บปวดกับการสูญเสีย และเข็ดขยาดกับสงคราม ไม่มีใครอยากเห็นสงคราม แต่ทำไมดูเหมือนว่าจะยังคงมีคนอยากให้เกิดสงคราม หรือไม่ก็กำลังทำสงครามกันอยู่แต่เป็นสงครามที่ไม่ได้มีรูปแบบเป็นกองทัพที่ประหัตประหารกันด้วยอาวุธ  แต่เป็นสงครามที่มาในรูปแบบต่างๆทั้งชนิดเหนือเมฆที่เราคาดไม่ถึงและชนิดบ้านๆที่เด็กสามขวบก็ยังดูออก  รู้ทั้งรู้ว่าสงครามมีแต่สร้างความสูญเสีย  แต่ยังจะทำให้มันเกิด หรือมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เสพย์ติดความเจ็บปวด เป็นมาโซคิสม์และซาดิสม์ในคราวเดียวกัน

สำหรับฉัน ตามประสาคนตัวเล็กๆและความจำสั้น วันนี้ผิดพลาด พรุ่งนี้ก็อาจจะพลาดอีกในเรื่องเดิมๆ แต่อย่างน้อยฉันก็รู้ตัวว่าพลาดเรื่องอะไร และเกิดความพยายามตั้งสติเพื่อจะลดสถิติความผิดพลาดของตัวเอง  แต่ในระดับมหภาค...ฉันไม่รู้ว่าคนจะยอมรับในความผิดพลาดแล้วนำมาซึ่งการตั้งสติและแก้ไขได้หรือไม่ 
วันนี้มาแนวค่อนข้างจริงจังเพราะเป็นประเด็นที่ฉันไม่เข้าใจ แต่ยังอยากจะเข้าใจ  แต่อาจจะไม่ยอมรับ เพราะฉันเชื่อเสมอว่า ชีวิตคนมันสั้นนัก จักสร้างความดีและประโยชน์ให้แก่กันไม่ดีกว่าหรือ จะเอาอะไรใส่ตัวไปนักหนา เกิดมาอย่างไร เมื่อถึงคราวตายก็ไปเท่านั้น ดูในรูปที่ถ่ายมาเป็นตัวอย่าง เหลือเพียงซากปรักหักพังผ่านกาลเวลา ไม่เห็นมีทรราชย์คนใดอยู่ยั้งยืนยงมาสั่งการใดๆในปี 2011 สักคน





ป.ล. ตอนนี้ขาข้างหนึ่งได้ยื่นเข้าไปอยู่ในทัณฑสถานหญิงเรียบร้อยแล้ว....ขอข้าวผัดและอเมริกาโน่ร้อนนะ...ฮามั้ยเนี่ย

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วันแห่งความรัก...ตัวเอง

14 กุมภาพันธ์ 2554
วันแห่งความรัก วาระพิเศษที่ทำให้หลายคู่ชวนกันไปเดทหวาน หรือคนไม่มีคู่ก็ถือโอกาสทำให้วันนี้เป็นวันแห่งการให้ นัยว่าอาจจะเกื้อหนุนนำให้เจอเนื้อคู่ที่ยังไม่รู้ว่าใครเร็วๆ หรือที่ยังไม่เกิดก็ขอให้รีบปฏิสนธิ มันเป็นวันที่มองไปทางไหนก็เห็นดอกกุหลาบบาน กระดาษห่อของขวัญรูปหัวใจ และคำอวยพรที่มีความรักเป็นนางเอก อืม...ภาพรวมโดยทั่วไป ทุกคนเลือกที่จะทำให้ตัวเองหัวใจเบิกบาน ส่วนฉันก็เลือกเหมือนกัน เลือกที่จะไม่หวานกับคนรัก  เพราะฉันเป็นคนเปรี้ยวติดขม หวานไม่เป็น แต่ไปเบิกบานกับ...ละครเวที....ช่อมาลีรำลึก

"เรื่องราวของสาวใหญ่วัยหมดแรงแต่อยากลอง feel อีกสักครั้งหลังจากมีชีวิตที่ไม่ได้ใช้มานาน ความแรงที่ซ่อนเร้นกำลังจะพาช่อมาลีออกไปจากกรงขังใจ แต่กว่าเจ๊แกจะยอมแรง มันต้องผ่านประตูกลกี่บานก็ห่ได้เดาออกไม่ มาร่วมเดินทางไปกับช่อมาลีที่จะพาเราไปเที่ยวไกลๆ...ไปโดดลงทะเลที่มันลึกลงไปชั่วนิรันดร์กัน" คำโปรยของละครเวทีเรื่องนี้...อืม อินเพราะค่อนข้างมีประสบการณ์ร่วม

"ช่อมาลีรำลึกได้แรงบันดาลใจจาก Shirley Valentine ของ Willy Russell (บทดั้งเดิมได้รับรางวัล the Laurence Olivier Awards 1998) และบทกลอนชื่อ Waiting ของ Faith Wilding   การแสดงครั้งนี้เป็นการ restage หลังจากเคยแสดงมาแล้วเมื่อปี 2551"
บทและกำกับโดย  ปานรัตน  กริชชาญชัย
นำแสดงโดย        เยาวลักษณ์ เมฆกุลวิโรจน์ และ ปานรัตน กริชชาญชัย
ขอปรบมือให้จนมือพังไปข้าง เพราะตลอดเวลาสองชั่วโมงกว่าๆ ฉันทั้งน้ำตาซึม จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะ แล้วกลับมาร้องไห้ จนกระทั่งยิ้มทั้งน้ำตาไปกับช่อมาลี แสงสุริยา ตัวละครเอกที่โคตรคล้ายฉันจริงๆ  ฉันไม่เล่ารายละเอียด ใครอยากรู้ว่าทำไมช่อมาลี แสงสุริยาถึงทำให้ฉันมีอาการคล้ายคนบ้า ก็ต้่องไปชมกันเอง สนใจหลังไมค์กันได้....แต่ที่ฉันอยากพูดถึงคือ...แรงบันดาลใจที่ได้จากช่อมาลี

หลาย dialogue ที่ออกจากปากของตัวละครทำฉันสะดุ้ง...นี่ไอ้คนเขียนบทมันถอดวิญญาณไปสิงอยู่ในบ้านฉันใช่มั้ย ตั้งแต่...ตอนช่อมาลีด่าผัว...แม่ง..เชี่ย หรือตอนที่ช่อมาลีไม่กล้าไปบอกผัวว่าตัวเองจะไปเที่ยว เพราะผัวจะต้องพูดให้ตัวเองรู้สึกผิด ทั้งๆที่มันสิทธิ์ของกู ในเมื่อกูทำหน้าที่ทุกอย่างดีที่สุดแล้ว...
เรียกได้ว่าโดนซะหลายดอก

และมีหลาย dialogue ที่ฉันพยายามท่องจำสุดฤทธิ์  "หม่าม๊าก็มีวงกลมของหม่าม๊า เก๋ก็มีวงกลมของเก๋ เราต่างมีพื้นที่ของตัวเอง เข้ามาเกี่ยวข้องกันได้ แต่ในที่สุดก็ต้องแยกกันไปนะ"

อีเก๋มันไม่เข้าใจแม่มันหรอกแต่ฉันเข้าใจ เพราะฉันพยายามสอนลูกอย่างนั้นอยู่ ในอนาคต ทั้งฉันและลูกจะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าต่างเป็นภาระต่อกัน แต่เรารักกัน หากจะทำอะไรให้กันก็ทำด้วยความรัก อย่ามารู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่  แต่ช่อมาลีไม่ได้มีโอกาสทำให้อีเก๋มันสำนึก อีเก๋ลูกที่คลั่งบีบีของช่อมาลีลุกขึ้นด่าแม่ว่าทุเรศ!!!  พอรู้ว่าแม่กำลังจะไปเที่ยวเมืองนอก หลังจากที่ดักดานเลี้ยงลูก ดูแลผัวปานคนใช้มานาน  ขณะที่ดู อยากจะตะโดนบอกช่อมาลีว่า...เพราะแกอ่อนแอ ไม่กล้าลุกขึ้นบอกผัวและลูกว่า...กูมีตัวตน!!!! 
แต่ฉันก็เปลี่ยนใจเมื่อช่อมาลีฟังเสียงหัวใจตัวเอง ลุกขึ้นตะโกนด่าใ่ส่หน้าผัวว่า..."ไอ้แปะ!!!! มึงมาข้ามหัวกูอีกมา มา !!!!!" แล้วช่อมาลีก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

ช่อมาลีรู้แล้วว่าตัวเองมีตัวตน มีร่างกายที่ยังต้องการ sex มีหัวใจที่ยังต้องการความซาบซ่าและหวามไหวยา่มใกล้ชิดตัวผู้ เธอต้องการใช้ชีวิตอย่างสิ่งที่มีชีวิต ไม่ใช่ที่น่ารกร้างว่างเปล่า และแล้วช่อมาลี แสงสุริยา สาวน้อยแสนซนคนเดิมก็กลับมา 

เอ๊ะ...ฉันบอกไปแล้วใช่มั้ยว่าจะไม่เล่ารายละเอียด...ยังน่า ยังมีอีกหลายรายละเอียดที่ยังไม่ได้เล่า โดยเฉพาะประโยคของช่อมาลีที่บอกว่า "ฉันรู้สึกชอบตัวเองขึ้นมาแล้วล่ะ".....ฉันไม่เคยบอกตัวเองอย่างนี้เลย ใช่ ตอนนี้ฉันก็รู้สึกแบบนี้ ในขณะที่เดินทางเกือบถึงหลักสี่อยู่รอมร่อ

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นทุกคนมีประสบการณ์ชีวิตที่ต่างกันไป สิ่งที่ได้และความประทับใจจากละครที่เข้าไปเสพก็ย่อมต่างกันไปด้วยตามประสบการณ์ตัวเอง  วรรคทองของฉันอาจจะเป็นแค่ประโยคพื้นๆของอีกคน  ฉันกรี๊ดกับสิ่งเล็กๆที่หลายคนอาจมองไม่เห็นแต่โคตรโดนใจ  ฉันอาจร้องไห้ให้กับบางประโยคในขณะที่อีกคนกลับไม่รู้สึก  เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งรู้สึกในสิ่งที่ฉันรู้สึก จนกว่าจะได้ไป "เสพ" ด้วยตัวเอง

ป.ล  เจ๊ช่อกับตุ๊กติ๊กกระตุ้นต่อมแรดฉันเข้าอย่างจัง...สุดสัปดาห์หน้า ฉันสัญญากับตัวเองและลูกๆว่าเราจะไปเที่ยวกัน...แล้วฉันก็เปิดหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมสำหรับเ็ด็กอย่างจริงจัง  ในที่สุดฉันก็พบ Destination...นครนายก หุหุหุ


 

วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554

Stories in My Head: เสียน้ำตาตอนห้าโมงเย็น

Stories in My Head: เสียน้ำตาตอนห้าโมงเย็น: "วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2554 ตอนห้าโมงเย็นของวันนี้ ฉันนอนดูหนังช่อง HBO เรื่อง 'My Sister's Keeper' (ถ้าจำชื่อไม่ผิด) เพิ่งจะเคยดูหนังที่เจ๊ี..."

เสียน้ำตาตอนห้าโมงเย็น

วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2554
ตอนห้าโมงเย็นของวันนี้ ฉันนอนดูหนังช่อง HBO เรื่อง "My Sister's Keeper" (ถ้าจำชื่อไม่ผิด) เพิ่งจะเคยดูหนังที่เจ๊ี่คาเมรอน ดิแอซ เธอเปลี่ยนแนวมาเล่นดราม่า รับบทแม่ผู้ทุ่มเททุกอย่างเพื่อยื้อชีวิตลูกสาวที่ป่วยเป็นลูคีเมีย ความสนใจในชีวิตของเธอมารวมศูนย์ที่ลูกสาวคนนี้ จนทำให้หลงลืมไปว่า เธอไม่ได้มีลูกแค่คนเดียว ยังมีลูกชายคนรองที่ฉันแอบลุ้นไม่ให้แอบเหงาจนลงเอยด้วยการฆ่าตัวตาย (แล้วคนเขียนบทก็เห็นใจฉัน)และลูกสาวคนสุดท้องที่มี mission ติดตัวมาตั้งแต่ตัวเองยังไม่ได้ปฏิสนธิ นั่นคือ...แม่ต้องการให้เกิดเพื่อจะได้อาศัยเลือดจากสายสะดือ ไขสันหลัง มารักษาอาการป่วยของพี่สาว และกำลังจะเลยเถิดไปถึงขั้นต้องสละไตข้างหนึ่ง

ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเห็นชอบของแม่เป็นหนึ่ง  ส่วนเสียงของพ่อ แม่ไม่เคยได้ยิน และไม่ได้ยินเสียงของลูกสาวที่ป่วยด้วย ถึงแม้ลูกจะพยายามบอกหลายครั้งเป็นนัยๆว่า...ไม่อยากจะทรมานให้หมอผ่า ตัด สับบนเขียงอีกแล้ว อยากจะหยุดเพื่อไปรอพบคนที่เธอรักอีกครั้งหลังความตาย  เมื่อแม่ไม่ฟัง พ่อก็อ่อนตามแม่ ลูกจึงหาทางทำให้แม่ยอมรับว่าความตายเป็นสัจธรรม และต้องปล่อยให้มันเป็นไปด้วยการสมคบคิดให้น้องคนเล็กที่อายุเพียง 11 ปียื่นฟ้องพ่อแม่ตัวเอง เพื่อปกป้องอวัยวะและปฏิเสธการผ่าตัดทุกอย่างที่พ่อแม่ไม่เคยถามความสมัครใจ!!!....แวร็งส์

ดูไปก็ร้องไห้ไปไม่หยุดเพราะสะเทือนใจ และเหมือนถูกตบหน้าในหลายๆฉาก จนรู้สึกไปว่าหน้าตัวเองบวมช้ำ  เข้าใจในความรักของคนเป็นแม่  ไม่มีแม่คนไหนทำใจได้หากต้องมาเห็นลูกตายก่อนตัวเอง จึงทำได้ทุกอย่างเพื่อยื้อให้เขาอยู่กับเราให้ได้นานที่สุด แต่อีแม่ในเรื่องนี้ต่อสู้แบบหัวทะลุฝาและบ้าบิ่น สู้โดยไม่ยอมรับว่ามันต้องมีจุดจบ สู้โดยยอมแลกกับสิ่งที่มีค่าไม่น้อยไปกว่าชีวิตของลูกที่กำลังจะตาย นั่นก็คือชีวิตของลูกอีกสองคน และตัวตนของสามีที่ยอมให้เธอเป็นแม่ทัพออกรบกับพญามัจจุราชเพื่อยื้อแย่งชีวิตลูกสาวมาตลอด 14 ปีเต็ม...จนเกิดการตั้งคำถามว่าแท้ที่จริงแล้ว  แม่คนนี้รักลูกหรือกลัวตัวเองจะเสียใจและสูญเสีย  ตัวละครจะเรียนรู้และคิดได้หรือไม่  และคำตอบมันก็มีอยู่แล้วในหนัง เดาได้ไม่ยาก


สิ่งที่ได้มาหลังจากดูหนังจบนอกจากขอบตาอันแดงช้ำแล้วก็คือ...ถามลูกก่อนดีกว่าว่าเย็นนี้จะกินอะไร เดี๋ยวถูกฟ้อง ^_^

วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

อนุบาลแฟนเทเชีย

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม 2554
เป็นวันเด็กแห่งชาติที่มีคำขวัญชวนประทับใจ "รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ" ไม่ใช่คำหรูหราแต่กลับมี(ผู้ใหญ่) หลายคนต้องขอแปลไทยเป็นไทย เพราะไม่เข้าใจคำว่าจิตสาธารณะ...ทำไม???? เรื่องคนอื่นช่างก่อน มาที่คำขวัญของผู้ใหญ่อย่างฉัน นั่นคือ "รู้ให้รอบ รู้ให้จริง และต้องพึ่งพิงที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณบ้างไรบ้าง" เหอๆๆๆ ^O^ ใครจะจำไปปฏิบัติก็ไม่ว่าอะไรกัน

เป็นวันเด็กแห่งชาติที่ฉันสงสารเด็กที่เป็นอนาคตของชาติ โดยเฉพาะรุ่นที่ต้องเข้าเรียนอนุบาล 1 ในเทอมหน้า เอ้า...เว้ากันตรงๆ สงสารลูกตัวเองเนี่ยแหละ รวมถึงสงสารตัวเองด้วย เพราะอยากให้เข้าเรียนโรงเรีัยนดีๆ มีคุณภาพและค่าเทอมไม่แพงอย่างโรงเรียนอมาตยกุล ซอยพหลโยธิน 51 แต่เขารับจำนวนจำกัด ในขณะที่มีเด็กจ่อจะเข้าเรียนหลายร้อย วิธีที่ยุติธรรมที่สุดสำหรับการรับเด็กเข้าเรียนคือ...การจับฉลาก ต้องอาศัยดวงล้วนๆครับพี่น้อง....สงสารลูกอีกแล้ว เพราะฉันต้องไปเป็นคนส่งชื่อ...และฉันก็เป็นคนดวงกากทางด้านนี้ แปลว่า...เสี่ยงดวงไปเห๊อะ แห้วตลอด ^_T แต่มีหรือที่เราจะยอมแพ้ แม่อย่างฉันขอต่อสู้กับดวงให้ถึงที่สุด!!!

"คุณแม่ต้องมาเขียนชื่อน้องระหว่าง 7.30 - 8.00 น.นะครับ" เสียงเจ้าหน้าที่โรงเีรียนให้ข้อมูลมาตามสายเมื่อฉันโทรไปสอบถามเรื่องการจับฉลาก
"ต้องเตรียมเอกสารอะไรไปหรือเปล่าคะ" ฉันถามเพื่อความพร้อม
"ปากกาด้ามเดียวพอครับ" เอ๊ะ...เขากำลังเล่นมุขหรืออะไรหว่า แต่ช่างมัน

อีกสิบห้านาทีเจ็ดโมงเช้า ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ฉันไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก!!! ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 40 นาทีในการเดินทางไปโรงเรียนอมาตยกุล แปลว่า ฉันต้องออกจากบ้านทันทีเพื่อไปให้ถึงทันเวลา 7.30 น. ฉันบอกตัวเอง ฉันจะพลาดโอกาสนี้เพียงเพราะนอนตื่นสายไม่ได้!!!

รีบอาบน้ำ รีบทำทุกอย่าง ฉันไปถึงในเวลา 7.40 น.อ้าว...ยังมีคนทะยอยมากันอยู่เลย แปลว่า 7.30 น.ไม่ใช่เส้นตาย โล่งใจไป เพราะเส้นตายคือ 8.30 น.อ้าว...รู้งี้กินกาแฟก่อนออกมาจากบ้านสักแก้วก็ยังดี

8.30 น.ครูประกาศออกไมค์ลั่น "ต่อไปนี้จะเป็นการจับฉลากนักเรียนที่จะเข้าเรียนชั้นอนุบาลในปีการศึกษา 2554 นะคะ ขอเรียนเชิญท่านผ.อ.ค่ะ"
ฉันกวาดสายตามองไปรอบๆ ผู้ปกครองส่วนใหญ่ดูตื่นเต้นเหมือนตัวเองเป็นคนเข้าเรียนเองก็ไม่ปาน เออเนอะ เรื่องของลูกก็เหมือนเรื่องของเรา อนาคตของลูกก็เหมือนอนาคตของเรา...แต่ก็ต้องเตือนตัวเองอยู่บ่อยๆ...ความสุขของเราไม่ใช่ความสุขของลูก...^^

ฉันบอกตัวเองตั้งแต่ตัดสินใจมาเสี่ยงดวงในครั้งแรกแล้วว่า "ฉันจะไม่ตื่นเต้น ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้" แต่เมื่อถึงเวลาจริง....หัวใจฉันเต้นโครมคราม ฝ่ามือเริ่มชื้นด้วยเหงื่อ....ตายล่ะ เมื่อคืนลืมสวดมนตร์ ^^

ผ.อ.จับฉลาก คุณครูประกาศรายชื่อเด็กผู้โชคดีคนแรก...เสียงหัวใจยิ่งเต้นระทึก เหมือนจะออกมาดิ้นอยู่ข้างนอก...ด.ญ.....ไม่ใช่ไอ้อ้วน...เซ็ง
เสียงประกาศรายชื่อลำดับที่สอง ....ด.ช...ไม่ใช่ไอ้อ้วนแระ....เฮ้อ
เสียงประกาศรายชื่อลำดับที่สาม....ด.ญ...เสียงครูขาดห้วงเพราะไม่แน่ใจว่าชื่อเด็กอ่านว่าอย่างไร...สปอตไลท์จับมาที่ฉันทันที...เสียงเต้นของหัวใจเงียบลง ได้ยินเพียงเสียงหายใจของตัวเองที่ดังเป็นห้วงๆ เวลาช่างผ่านไปเนิ่นนานเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด...ภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้เป็นชื่อของไอ้อ้วน ด.ญ. ปาตีร์ มะชะรา เห็นมั้ยชื่ออ่านยากจะตาย ใครไม่คุ้นอ่านไม่ค่อยถูกทั้งนั้น...คุณครูกำลังประกาศชื่อแล้ว...ด.ญ...พิมพ์...อะไรสักอย่าง...เวง T_T

ผ.อ.จับฉลากรายชื่อสลับกับการประกาศของคุณครูผ่านไปเรื่อยๆทีละคน จนมาถึงลำดับที่ 20...ทุกอย่างรอบตัวตกอยู่ในความเงียบ ฉันยืนอยู่คนเดียวกลางเวที มองออกไปข้างหน้าด้วยแววตาอ้อนวอน จับจ้องที่รูปปากของคุณครูที่ค่อยๆอ่านรายชื่อเด็กคนสุดท้ายที่ได้ไปต่อ...เด็กกก หญิงงงงง....ชะ.......วืดแล้วค่ะ  จบข่าว!!!!

กลับบ้านด้วยอาการขำตัวเอง ที่ตกหลุมอารมณ์ลุ้น แต่ก็โล่งใจที่ได้ทำหน้าที่อย่างเรียบร้อยสมบูรณ์ ซึ่งในชีวิตไม่ค่อยได้ทำอะไรอย่างที่พ่อแม่คนอื่นๆเขาทำกันสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเรื่องแบบนี้ เพราะถือคติที่ว่า...เรียนที่ไหนก็ได้ เอาใกล้บ้าน สภาพแวดล้อมปลอดภัย  คุณภาพพอไหว ค่าเทอมไม่แพง ที่เหลือคงเป็นหน้าที่ของลูกที่ต้องขวนขวายหาอะไรใส่สมอง โดยมีเราคอยทำหน้าที่เทรนเนอร์ คอยเอาไฟฉายส่องทางให้ลูก แต่คงไม่เข้าไปเลือกทางเดินให้ลูก เขาคงต้องเลือกเอง เลือกเรียน เลือกทำในสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข เพราะความสุขของเรา ไม่ใช่ความสุขของลูก แต่ความสุขของลูกคือความสุขของเรา เพราะฉะนั้นต้องแยกสมการดีๆ ไม่งั้น...งงตาย ^_^

วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันที่ไม่มีอะไรจะเขียน

วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม 2553

เข้าข่ายอันตรายถ้านักเขียนไม่มีอะไรจะให้เขียนถึง เขียนได้สองคำกด delete เขียนไปต่ออีกสองประโยคกด delete ทุกอย่างหายไป ไร้ร่องรอยทิ้งไว้ หน้าจอขาวสะอาด ว่างเปล่า...แต่ชีวิตมันไม่ใช่พื้นที่ว่างบนหน้าจอ ไม่สามารถ delete ตัวอักษรที่จารจำลงไปแล้วได้ขาวสะอาด มันยังทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้เสมอ  แต่ชีวิตมันส่งผลให้หน้าจอคอมพิวเตอร์ว่างเปล่าได้อย่างเหลือเชื่อ ถ้าร่องรอยของมันสั่นสะเทือนต่อมความคิด จนทำให้ติดขัดและ...ไม่รู้จะเขียนอะไร

งั้นก็เขียนถึงไอ้ความที่ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรนี่แหละ  มันเกิดจาก
1. ความเซื่องซึมเข้าเกาะกิน ทั้งๆที่คอนเซ็ปท์ปีหน้าจะต้องร่าเริงท้าแดดลม แต่มันยังไม่สิ้นปี ไม่เป็นไร ปล่อยมันไปก่อน กินให้หนำใจ อยากกินอะไร หัวใจ สมอง ตับ ม้าม ไส้ติ่ง กินไปกินให้อิ่มนะเิมิง แต่พอขึ้นปีใหม่เมื่อไหร่ ฉันจะสลัด สลัด สลัด สะบัด สะบัด รู้จักป่ะเพลงของมอส ปฏิภาณ...ร้องได้แค่นี้แหละ ที่เหลือไปหาดูใน youtube
2. ความไม่มั่นใจ ความ self ลดลงไปกว่าครึ่ง หลังจากร่วมรายการ "จุดเปลี่ยน" รายการดีที่อยู่ในจอได้ไม่นาน เหมือนตัวเอง...พยายามทำทุกอย่างให้ออกมาดี แต่มันอยู่ได้ไม่นาน เพราะคนดูไม่เก็ทประเด็น เป็นอันปิดฉาก ลาจอ รอ create รายการใหม่ที่ต้องไฉไลกว่าเดิมและบันเทิงกว่าที่เคยเป็น ไม่งั้นเรทติ้งตกเป็นเหตุให้ลาจอได้ง่ายๆอีกครั้ง...แปลว่า หาผัวใหม่ที่ลงตัวดีกว่าเดิม...ฮา (มั้ย?) ล้อเล่น แปลว่า กำลังอยู่บนเส้นทางใหม่ อะไรๆก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง ความชัดเจนยังมองไม่เห็น ไปแบบสุ่มๆ แต่ในความไม่มั่นใจกลับมั่นใจมากๆว่า ยังไงก็ไม่หันหลังกลับ เพราะเลยยูเทิร์นมาไกล เสียเวลาย้อน ^^

คิดไม่ออกแล้ว บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไรจะเขียนจริงๆ

ป.ล. ก็เลยกลับไปเขียนบทละครที่กำลังรอให้เขียนให้เสร็จก่อนเปิดปีใหม่ ใครบอกว่าไม่มีอะไรจะให้เขียน สะตอจริง ^_-

วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มันจะเป็นอย่างไรไม่รู้เลย

จันทร์ี่ 27 ธันวาคม 2553

ห่างหายจากการเล่าเรื่องไปนานหลายวัน เพราะมัวแต่วุ่นวายจัดการทั้งกับเรื่องที่วางแผนเอาไว้ ดังนี้
1.วางแผนงานปีหน้าของทีมตรียูงทอง...อืม หนทางดูสดใส ถึงแม้ในปีนี้อะไรๆมันจะค่อนข้างทรงตัวถึงขั้นแย่ แต่เราสามคนยังคงรวมตัวกันอยู่ ไม่มีนกยูงตัวไหนแยกวง
2.จัดการแผนชีวิตลูกสาวทั้งคนโตและคนเล็กในทั้ง 3 มิติ คือ สุขภาพ การศึกษาและจิตใจ แปลว่า...ต่อประกันชีวิตลูก หาโรงเรียนสำหรับการเรียนต่อปีหน้าของทั้งสองคน  พาไปปล่อยพลังตามที่ต่างๆ  อืม ทุกอย่างผ่านไปได้อย่างเรียบร้อยบ้าง ทุลักทุเลบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในแผน
3.ตามทวงหนี้ แต่ไม่เคยได้สักกะบาท..แถมบางคนพูดให้รู้สึกคับแค้นใจ เหมือนเป็นขอทานไปขอเงินเขา ทั้งๆที่เป็นเงินอันเกิดจากการทำงานที่เราควรจะได้...อืม มนุษย์หนอ ยามจะขอช่างปากหวาน สัญญาได้ทุกอย่างขอเพียงได้งาน  ทำเอาเราซมซาน  นอนกบดานอยู่บ้านเพื่อเลียน้ำตาและแผลใจ T_T

แต่ก็มีเรื่องที่ไม่ได้คาดหวังให้มันเกิดมันก็เกิด ชนิดสายฟ้าแลบยังเร็วไม่เท่า
- ตอนรักกัันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล...แต่ช่างมีเหตุผลมากมายเหลือเกินเมื่อจะเลิก มากเสียจนมึน พยายามไม่มึน ก็มึน เพราะมันคงเก็บสะสมมานานมากเสียจนทำให้การมีชีวิตอยู่มันขาดความชัดเจนว่าอยู่ไปเพราะรัก หรือพยายามจะรักเพื่อประคองไม่ให้เลิกรา แต่เมื่อฟางเส้นสุดท้ายมันปลิวลงมาตกบนบ่าที่เคยแบกรับทุกอย่างเอาไว้ บอกได้เพียงว่า สุดท้าย สุดท้ายจริงๆ

เรื่องไม่คาดฝันเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันจัดการยากจริงๆ ยากที่สุดคือใจที่กลัวความเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงจากความเคยชินไปสู่สิ่งใหม่ๆ
1.บ้าน : จากเคยอยู่เพียงลำพัง กลับไปอยู่กับครอบครัวใหญ่ ญาติพี่น้องมากมาย ไม่ให้อยู่ก็จะอยู่ เพราะเรามีเขาเป็นที่พึ่งเพียงที่เดียว  แต่โชคดีที่เขายังรักและปรารถนาดีต่อเราเสมอ
2.วงจรชีวิตวันธรรมดา ต้องตื่นตีห้าเพื่อขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนและรอรับกลับจนกว่าจะปิดเทอม ระยะทางจากบางบัวทอง - รามอินทรากิโลเมตรที่ 2  และระหว่างรอลูกก็ไปจัดกาีรงานของตัวเองให้เสร็จสรรพ  เอ่อ...จะต่อเวลาไปปาร์ตี้ตอนกลางคืนคงไม่ได้อีกแล้วสินะ
3.เศรษฐกิจ ไม่มีการตกลงเรื่องเงินเรื่องทองใดๆ และคงไม่กล้าคาดหวังว่าใครจะมาช่วยรับผิดชอบ อืม...คงต้องหน้าด้านทวงหนี้ต่อไป
4.ความรู้สึกของลูกทั้งสองคนจะเป็นอย่างไรนับจากนี้...คงต้องหาคำอธิบายให้ลูกเข้าใจที่เป็น realistic และไม่ให้เสียใจ หรือจะเสียใจก็ต้องเป็นความเสียใจที่ต้องยอมรับได้..ว้า...ยากจัง ขนาดเป็นคนเขียนบทแท้ๆ ยังคิดไม่ค่อยออก
5.ถ้ารถเสียหรือเป็นอะไรขึ้นมา ทำไงดีอ่ะ ทำเป็นแต่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องกับล้างรถ...อืม...ไม่เป็นไร โทรหาเพื่อนสิ เพื่อนมีไว้ทำไม คงมีหลายคนที่รู้เรื่อง

แต่ในความหวั่นใจ ฉันรู้สึกว่ายังมีมุมเล็กๆที่ทำให้ฉันยิ้มได้และตื่นเต้นเมื่อคิดถึงมัน นั่นคือฉันรอให้ถึงวันหยุดเพื่อพาลูกเดินทางไปท่องเที่ยวได้อย่างอิสระ อย่างที่เคยอยากทำแต่ทำไม่ได้  อืม...งั้นต้องขยันหางานหาเงิน

ทุกอย่างที่เล่ามาทั้งหมดคือสิ่งที่รู้ว่าจะต้องเจอ แต่จะจบลงอย่างที่คิดหรือเปล่า...ไม่รู้เลยจริงๆ แต่ที่รู้ๆ ไม่อยากตื่นขึ้นมาในวัยหกสิบ แล้วยังนั่งมึนกับสิ่งเดิม ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีกว่าเดิม ชีวิตไม่ใช่การยอมจำนน แต่มันควรจะขับเคลื่อนไปไม่ใช่หรือ  จะขึ้นสวรรค์หรือลงเหวไม่มีใครรู้ และไม่ใช่สาระสำคัญ สำคัญที่การเรียนรู้ระหว่างทางที่ทำให้เราเจ็บ ผิดหวัง ดีใจ สมหวัง ได้รู้จักกับประสบการณ์อันหลากหลายที่ทำให้รู้สึกว่า...ฉันกำลังมีชีวิตอยู่ต่างหาก

ขอโบกมือลาให้กับส่วนหนึ่งของชีวิตที่ยอมจำนนให้กับ "ปลัก" และ"โคลนตม" ต่อไปนี้ฉันไม่ใช่ "ควาย" แต่ฉันจะทำตัวเป็น "คน" ที่ต้องการ "ใช้" ชีวิตไม่ใช่ "ปล่อย" ชีวิตให้จมหายไปกับกาลเวลา

ป.ล เจอกันอีกครั้งตอนอายุหกสิบ ฉันอาจจะกำลังเรียนเต้น Salsa อยู่ก็ได้นะ ^_^

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เมนูจากหัวใจ

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม 2553

เป็นอีกวันที่แม่ไม่อยู่ ทำให้ฉันต้องคอยดูแลเรื่องอาหารการกินของสมาชิกในครอบครัว จะว่าไปแล้วก็ดูแลเป็นปกติ แต่ช่วงนี้งานเข้าเบียดบังเวลาของ mode แม่บ้าน กลัวลูกผัวจะผ่ายผอมเลยต้องอ้อนแม่ให้มาอยู่ด้วยเพื่อช่วยชีวิต ยิ่งวันนี้เป็นวันดีที่อาและอาสะใภ้จะมาเยี่ยมหลานๆ เลยคิดทำเมนูที่ยังไม่เคยทำเลยในชีวิต นั่นคือ...นึ่งข้าวเหนียวกินเอง ^O^

ไม่ได้กินเปล่าๆ แต่กินกับปีกกลางไก่ชุบแป้งทอดและสันคอหมูทอดที่มีสูตรเฉพาะตัว เกิดจากการใส่มั่วๆทำกี่ครั้งก็ใช้ซอสหมักไม่เหมือนเดิม เพราะจะต้องทดลองใส่โน่นนิดนี่หน่อยเพิ่มเข้าไปทุกครั้ง ตมสไล์คนช่างคิด อุ๊ย...ผิดแล้ว คนขี้เบื่อต่างหาก นิสัยแบบนี้มันเข้าเส้นเป็นได้ในทุกสถานการณ์จริงๆ

แล้วความตื่นเต้นก็เริ่มบรรเลงเพลงโหมโรง ฉันพุ่งเ้ข้าไปที่ร้านขายข้าว ถามหาข้าวเหนียวจากคนขาย
"จะเอาข้าวใหม่หรือข้าวเก่าครับ" คนขายถามกลับ
เอาล่ะซี แล้วมันต่างกันยังไง เหมือนข้าวสารธรรมดาที่เคยรู้มามั้ย ไม่กล้าฟันธง ตัดสินใจถามดีกว่า เลยตีหน้าซื่อใสถามกลับไปอีกครั้ง คิดในใจอย่าดูถูกกรูนะเมิง ก็คนมันไม่เคย
"น้องคะ...มันต่างกันยังไงคะ คือ พี่จะหุงข้าวเหนียวกินเองค่ะ "
แล้วคนขายก็ยิ้มซื่อใสพอๆกับหน้าตาของฉันและอธิบายให้ฟังแบบไม่มีกั๊กและไม่มีอคติใดๆ
"ข้าวใหม่พอเอามาอุ่นอีกมันจะเละ ไม่เหมือนข้าวเก่า แล้วก็แช่น้ำแค่ประมาณ 2 ชั่วโมงก็หุงได้ ส่วนข้าวเก่าต้องแช่ข้ามคืน"
"เอาข้าวใหม่" ฉันตอบทันทีแบบไม่ลังเล เพราะไม่มีเวลา้ข้ามคืนแช่ข้าวเก่า เที่ยงนี้ก็ต้องกินแล้ว

ได้ข้าวเหนียวใหม่มา 2 กิโลกรัมราคา 65 บาท (ได้ลดราคา 1 บาท) ความตื่นเต้นเริ่มบรรเลงจังหวะเร็วขึ้น...แล้วกรูจะหุงด้วยอะไรหว่า???? หม้อข้าวที่มีอยู่ มันมีสรรพคุณหุงข้าวเหนียวได้ด้วย แต่...หุงยังไง ทิ้งคู่มือไปแล้ว เวรกรรม...อ้อ...นั่นไง หวดข้าวเหนียวและหม้อนึ่งมันวางขายอยู่ในร้านฝั่งตรงข้าม รีบสาวเท้าเข้าไปหาแล้วซื้อมาทันที ทั้งหวดขนาดไม่ใหญ่มากและหม้อนึ่งที่พอดีกัน บวกผ้าขาวบางอีกหนึ่งผืน เพราะจำได้ว่าเคยเห็นแม่ค้าส้มตำเอาผ้าขาวบางห่อข้าวเหนียวใส่กระติก บางทีฉันอาจต้องใช้) สนนราคาทั้งหมด 150 บาท(ได้ลด 5 บาท)

รีบยกหูโทรหาน้าชายที่ฝีมือการทำอาหารอีสานขั้นเทพ เป็นผลพลอยได้จากการมีเมียเป็นคนทางนั้นทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนใต้ แต่เดี๋ยวนี้แซ่บอีหลีไปแล้วทั้งภาษาพูดและฝีมือการทำอาหาร
"น้าเป็ด...แหม่มจะหุงข้าวเหนียว" ฉันยิงคำถามใส่ทันทีเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
"ล้างข้าวให้สะอาดแล้วแช่ไว้สองชั่วโมง เสร็จแล้วเอาขึ้นใส่หวด จากนั้นวางบนหม้อนึ่ง เอาฝาหม้อปิดหวดเอาไว้" น้าของฉันสอนเป็นข้อๆ สมองฉันรีบบันทึกขณะที่ขับรถเข้าบ้านโดยมีเสียงทะเลาะของลูกสาวทั้งสองคนดังเป็น ambience
"เปิดดูถ้าข้าวข้างยนสุกแล้ว ให้กลับเอาข้างใต้ขึ้นมา นึ่งต่อไปสักพัก จนสุกทั่วแล้วเอาขึ้นกระจายบนถาด จากนั้นเอาใส่กระติกเพื่อให้คงความร้อน จำได้มั้ย" น้าถามเมื่อเสร็จสิ้นการเล็คเชอร์
"จำได้ๆ ขอบคุณค่ะ" ฉันรีบวางหู แล้วมุ่งหน้ากลับบ้านด้วยความใจสั่นระคนใจเสีย  ฉันกำลังจะนึ่งข้าวเหนียวกินเอง ฉันกำลังจะนึ่งข้าวเหนียวกินเอง......

ลงมือทำตามขั้นตอนที่ได้เล่าเรียนมาแบบ intensive course ขั้นที่1...ผ่าน  ขั้นที่สอง...ผ่าน...ขั้นที่สามช่วงกลับข้าวเหนียว...ผ่าน...ขั้นที่ 4 รอให้สุกจนทั่ว...แล้วสุกยังหว่า...หยิบขึ้นชิม....อืม...โอเค...ขั้นที่ 5 ต้องแผ่กระจายบนถาด...แต่ฉันไม่มีถาด งั้นไม่ต้องแล้วกัน เอาผ้าขาวบางชุบน้ำให้ชุ่มแล้วห่อข้าวเหนียวไว้ จากนั้นก็เอาไปวางในหวดใหม่อีกที  ^_^

ฉันนั่งมองลูกสาวคนโตเปิบข้าวเหนียวกินกับไก่อย่างเพลิดเพลิน อิ่มใจ และอิ่มแทนเพราะชีซัดข้าวเหนียวเยอะมาก จนกลัวลูกจะไหลตายตอนกลางคืน  ส่วนคนเล็กกินได้เล็กน้อยเพราะไม่ค่อยสบาย สำหรับสามี กินไปแกะเพลงไปพูดไปว่า...อร่อยมาก

เมนูง่ายๆ แต่ใส่หัวใจลงไปในทุกขั้นตอนของการทำ รสชาิติอาจจะแปร่งเพี้ยน แต่คนกินก็กินอย่างมีความสุขและสัมผัสได้ว่า...แม่ทำจากหัวใจ ยังไงก็อร่อย ^_____________^

ป.ล. ตอนนี้ฉันล้างหวดและหม้อนึ่งอย่างสะอาด เก็บไว้อย่างดี รอเวลาเอามาใช้งานใหม่ เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์การทำอาหารที่ฉันภูิมิใจ...ฉันไม่น้อยหน้าคนขายสัมตำแล้วเว้ยยยย ^O^

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันที่ถูกปลดปล่อย

พฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม 2553
เป็นวันที่พ่อมาหาหมอที่โรงพยาบาลรามาธิบดีเพื่อตรวจประจำปี ฉันไปตามนัดเพื่อจะเจอพ่อจนได้ ไม่ไปได้ยังไง พี่สาวโทรตามยิกๆ  ฉันขับรถพลางตื่นเต้น คิดถึงช็อตที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะต้องพูดขอโทษพ่อเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจ...ฉันจะกล้าพูด จะกล้าทำอย่างที่ตั้งใจมั้ยหนอ ????

พ่อยืนรออยู่ที่หน้าโรงพยาบาลกับพี่สาว ฉันไม่ได้เจอพ่อมานานหลายปี จำไม่ได้แล้วว่าครั้งหลังสุดที่เจอนั้นเมื่อไหร่กันแน่ แต่พ่อยังดูกระฉับกระเฉงในวัย 68 ปี ร่าเริงและคุยสนุก ปล่อยมุขให้ขำได้เป็นระยะ แต่ใครจะรู้ถึงความในใจ
"หมอบอกเป็นไงบ้าง" ฉันเิ่ริ่มยิงคำถามเมื่อพ่อขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว
"ทุกอย่างลดหมดเลย ทั้งคอเลสเตอรอลและไขมันในเส้นเลือด เพราะพ่อคุมอาหาร" พ่อพูดยิ้มๆ "แต่ไอ้ที่ยังไม่หาย คือ ตับอักเสบ หมอดุใหญ่พอพ่อบอกว่ายังกินเหล้า" พ่อคุยต่อ
"แล้วทำไงอ่ะ" ฉันถามด้วยความห่วงใย
"พ่อตั้งใจว่าจะเลิกกินเหล้าแล้ว...กินเบียร์แทน" พ่อพูดหน้าตาเฉย ^_^"

เราพาพ่อไปกินข้าวกลางวันแถวๆนั้น ฉันสั่งอาหารอย่างคนที่รู้ใจ  ไม่ได้รู้ใจพ่อนะ แต่รู้ใจคนกินเบียร์กินเหล้า ถ้าสั่งเบียร์มาแล้ว อย่าได้สั่งข้าวให้เด็ดขาด แต่ขอเป็นลาบเป็ดสักจาน และไม่ต้องถามถึงของหวานหลังอาหาร เพราะมันจะตีกัน  กินไปคุยเรื่องสัพเพเหระไป ที่น่าตื่นเต้นคือพ่อถามถึงลูกสาวทั้งสองคน ฉันเล่าคาแร็คเตอร์ที่แตกต่างเป็นขั้วบวกและลบของหลานให้พ่อฟัง...พ่ออมยิ้ม

อีกอย่างที่ฉันสังเกตเห็น  พี่สาวฉันดูรักและเคารพพ่อมาก ไม่เคยเลยที่ฉันจะได้ยินพี่สาวพูดถึงพ่อในทางลบ มีแต่ฉันเสียอีกที่ฟูมฟายและกล่าวโทษพ่อต่างๆนานาในวันที่รู้ว่าพ่อกับแม่กำลังจะแยกทางกัน และพ่อไปมีครอบครัวใหม่  จนเมื่อฉันเติบโตขึ้นและมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ถึงได้เข้าใจเงื่อนไขชีวิต มีเหตุผลมากมายที่ทำให้คนสองคนประคองชีวิตคู่ไว้ต่อไปไม่ไหว ไม่มีใครเป็นคนผิดเลย และการที่พ่อเข้ามาดูแลพวกเราไม่ได้เต็มที่ มันก็มีเหตุผลอีกนั่นแหละ...ฉันเข้าใจแต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เสียใจ

โปรแกรมต่อไปของพ่อที่สำคัญและจะต้องทำให้ได้ก่อนขึ้นรถทัวร์กลับบ้านในเย็นวันเดียวกันนี้คือ พ่อจะเอาสร้อยไปชุบทอง  และต้องไปที่สะพานใหม่ด้วยนะ มันเป็นสถานที่ที่พ่อเคยชิน ฉันรีบป้อนข้อมูลใหม่ให้พ่อทันที...
"โอ๊ย จะถ่อไปทำไมถึงสะพานใหม่ สะพานควายก็มี"  แล้วฉันก็กลายเป็นไกด์พ่วงตำแหน่งนายทุนพาพ่อไปหาร้านชุบทอง

ร้านชุบทองร้านนี้ช่างวางแผงรับลูกค้าได้องอาจมาก...อยู่หน้าร้านขายทองแท้ๆเลยทีเดียว  พ่อบอกฉันว่าคนอย่างเราไม่มีปัญญาซื้อทองแบบร้านข้างหลังมาใส่ ก็ขออร่ามด้วยการเล่นแร่แปรธาตุ โดยแบตเตอรี่ ลวดทองแดง และน้ำฯลฯ ที่ฉันไม่รู้จัก เห็นแต่เป็นสีเขียว ชมพู และน้ำเปล่า  แค่หนึ่งชั่วโมงจากสร้อยสเตนเลสราคาถูกกลายเป็นสร้อยทองดูมีราคาขึ้นมาทันที  แต่ฉันก็แอบเตือนพ่อ หากถูกโจรกระชากสร้อย มันจะย้อนกลับมาตีหัวฐานทำให้มันเสียเวลากับสร้อยปลอม พ่อยักไหล่ แสดงอาการไม่แคร์ื่สื่อ คล้ายบอกฉันว่า ถ้าคิดจะมีความสุขอย่าได้กลัวโจรตีหัว

เราพาพ่อมาซื้อตั๋วรถทัวร์ที่สถานีขนส่งสายใต้แห่งใหม่  รู้เวลาเดินทางแน่นอนว่า 18.30 น. พ่อขอเดินไปเช็คชานชาลารถ ฉันเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก เพิ่งเห็นความเข้มงวดของระบบรักษาความปลอดภัย ไมปล่อยให้คนที่ไม่ใช่ผู้โดยสารไปเดินเล่นที่ชานชาลาเด็ดขาด หรือหากจะเข้าไปต้องแลกบัตร และที่จุดแลกบัตรนี่เอง...พนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าตา Bad Boy สเป็คสาวแซ่บอย่างเรานั่งทำหน้าที่คอยแลกบัตรอยู่...ซวยไปนะน้องที่ถูกพี่แทะโลมด้วยความคิดในใจ  ^O^

พ่อเช็คชานชาลาเสร็จเรียบร้อยแต่ยังเหลืออีกกว่าชั่วโมงถึงจะได้เวลาเดินทาง พ่อไล่ให้ฉันพาพี่สาวไปส่งบ้านเพราะไม่อยากให้แกร่วรอนาน เมื่อถึงเวลาร่ำลา ไฮไลท์มันอยู่ตรงนี้....
พี่สาวเข้าไปไหว้พ่อ และกำชับให้พ่อดูแลสุขภาพ ฉันที่รอคิวอยู่รีบรวบรวมความกล้าและขับไล่ความเขินเข้าไปไหว้พ่ออย่างตั้งใจที่สุดในชีวิต แล้วก็พูดในสิ่งที่อยากจะพูด
"พ่อ ยังโกรธหนูมั้ย"
"ไม่โกรธแล้ว" พ่อพูดเสียงเบาและไม่ยอมสบตาฉัน ฉันไม่ยอมแพ้ แค่นี้ยังไม่พอ ฉันส่งพลังทั้งหมดผ่านสายตาจับจ้องพ่ออีกครั้ง
"พ่อ หนูขอโทษนะ"
"ไม่โกรธแล้ว" พ่อหันมาสบตาฉันเพียงแวบเดียวแล้วยิ้มน้อยๆ แค่นี้ฉันก็ขนลุกซู่ น้ำตาพาลจะรื้นขึ้นมาให้ได้ ต้องรีบข่มมันเอาไว้ แล้วขอให้พ่อให้ศีลให้พรฉันเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พะลังงงงง ^_^
เราขึ้นรถได้ พ่อยังคงยืนส่ง และมองจนรถของพวกเราลับสายตา พ่อก็หันหลังกลับไปยังเส้นทางที่พ่อต้องเดินทางไปต่อ...บ้านของพ่อ

"อยู่ดีๆก็ซึ้ง" ฉันเปรยขึ้นมาในรถหลังจากที่เห็นพี่สาวนั่งเงียบ
"แกหายโกรธตั้งนานแล้ว" พี่สาวอธิบาย
"แต่เราก็ไม่เคยขอโทษแกเป็นเรื่องเป็นราว..." พูดได้แค่นี้ ฉันก็เงียบไป และรีบเปลี่ยนเรื่องสนทนาทันที น้องพนักงานรักษาความปลอดภัย Bad Boy คนนั้นกลายเป็นประเด็นให้สาวแก่ได้กิ๊กกิ้วกันสนุกปากแทนเรื่องของพ่อ....ซวยไปนะน้อง ตอนนี้ไม่ใช่การแทะโลมด้วยความคิดแล้วล่ะ แต่มันลามมาเป็นการแทะโลมด้วยคำพูดซะแล้ว ^_^

นี่แหละครอบครัวฉัน ปกปิด เก็บงำความรู้สึก และไม่เคยปล่อยให้ตัวเองดราม่านาน แต่เป็นอันรู้กันว่าตอนนี้...ฉันรู้สึกเป็นอิสระ เหมือนถูกปลดปล่อยจากพันธนาการแห่งความรู้สึกผิดที่ทำให้พ่อเสียใจด้วยเรื่องอันเกิดจากความดื้อและเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไปของฉัน เป็นความรู้สึกผิดที่รัดตรึงฉันไว้มานานกว่า 15 ปี

ป.ล. ฉันกำชับคนที่บ้านว่า ห้ามบอกแม่เด็ดขาดเรื่องที่ไปเจอพ่อ เพราะไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ แต่...น้าแท้ๆที่อยู่บ้านใกล้กัน เดินมาที่บ้านฉันและบอกแม่ว่า...ฉันไปหาพ่อ...อ้าว อ้าว อ้าววววววว *O*

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันที่เปลี่ยนเส้นทาง

เมื่อวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดสุดท้ายของ long weekend วันรัฐธรรมนูญ ในสมองมันคิดว่าวันนี้รถคงไม่ติด แต่เส้นทางปกติที่ฉันจะต้องใช้เดินทางไปรับแม่ คือ รามอินทรา มุ่งหน้าแ้จ้งวัฒนะข้ามสะพานพระรามสี่ ไปถนนราชพฤกษ์ ต่อเข้ารัตนาธิเบศร์ แ้ล้วเข้าบางใหญ่) คงต้องติด เพราะมีกิจกรรมมากมายที่เมืองทองธานี คนต้องแห่แหนกันไป และต้องส่งผลให้ถนนแจง้วัฒนะรถติด...ชัวร์!!!

สมองของฉันจึงเริ่มดำเนินการต่อทันที วาดเส้นทางใหม่ มุ่งหน้าสู่ถนนเลียบด่วน-รามอินทรา กลับรถเลี้ยวเข้าเกษตร-นวมินทร์ มุ่งหน้าสู่เกษตรต่อเนื่องงามวงศ์วานเพื่อไปพบกับถนนรัตนาธิเบศร์ แต่เรื่องจริงมันแตกต่างไปจากเรื่องที่คิดเอาไว้ ดังนี้

ฉันเจอหางแถวยาวเหยียดของช่องทางลอดใต้อุโมงค์แยกเกษตร-นวมินทร์ที่จะโผล่ึ้ขึ้นงามวงศ์วาน ฉันตัดสินใจตบซ้าย หมายจะไปกลับรถข้างหน้า แล้วค่อยเลี้ยวซ้ายเข้าแยกเกษตรเอา...แต่เมื่อมองไปข้างหน้าเรื่อยๆ สังเกตเห็นถนนว่าง เลยเปลี่ยนแผน มุ่งหน้าสู่แยกรัชโยธิน ตั้งใจข้ามวิภาวดี ลงแยกประชานุ
กูล แล้วค่อยเลี้ยวขวาเข้าประชาชื่น ขึ้นด่วน 15 บาทไปลงงามวงศ์วาน

รถค่อยๆกระดื๊บๆมาติดที่แยกรัชโยธิน  เมื่อผ่านไปได้ก็ฉลุย ฉันมุ่งหน้าไปต่อตามเส้นทางที่คิดเอาไว้ในหัว  จนกระทั่งลงจากทางด่วน เข้าถนนรัตนาธิเบศร์ มุ่งหน้าสู่บางใหญ่  ตลอดระยะทางมันคือเส้นทางการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง มีทั้ง barrier ตั้งกินเลนส์  มีทั้งรถตัก รถยก รถบรรทุกคอยขัดจังหวะ จนกระทั่งมาถึงบ้านแม่  ฉันรวมเวลาการเดินทางทั้งหมดหนึ่งชั่วโมงห้าสิบนาที  ส่วนเส้นทางปกติที่เคยสัญจรใช้เวลาเพียงห้าสิบนาทีบวกลบรถติดแล้ว!!!!

เมื่อจอดรถ เกิดการตั้งคำถามว่า จะเปลี่ยนเส้นทางไปเพื่อ????
-ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอเมืองทองจัดอีเว้นท์ มันก็ติดแค่นิดหน่อย เดี๋ยวก็ไปต่อได้
-ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่ารัตนาธิเบศร์เขากำลังก่อสร้างรถไฟฟ้า และมีอุปสรรคขัดขวางทำให้รถวิ่งไม่สะดวก
-ไม่ใข่ตัวเองเพิ่งคิดจะเปลี่ยนเส้นทางครั้งนี้เป็นครั้งแรก  แล้วทำไมไม่จำ

อืมมมม....ฉันคงขี้เบื่อ ฉันคงขี้ลืม เลยทำให้ไม่หลาบไม่จำ เส้นทางที่ใช้มันได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าใกล้ที่สุด สะดวกที่สุด ประหยัดเวลาที่สุดและประหยัดพลังงานที่สุด

การลองของใหม่ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าลองทั้งๆที่รู้ว่าของเก่าดีอยู่แล้ว ไปลองให้มันเสียเงิน เสียเวลา เสียใจ และเสียรู้ซ้ำซาก มันยิ่งไม่น่าให้อภัยตัวเอง

แต่ฉันก็ให้อภัยตัวเองด้วยการกลับมาใช้เส้นทางเดิมตอนขากลับอีกครั้งด้วยความมั่นใจ แล้วก็เป็นจริงดังคาด เมืองทองคนล้นหลามแค่ไหน มันก็ติดนิดหน่อย แล้วมันก็ไหลลื่นปื๊ด ลื่นปี๊ดเหมือนเดิม

ป.ล. ฉันสั่งลูกสาวเอาไว้ว่า คราวหน้าถ้าจะต้องไปบ้านยายอีก อย่าลืมเตือนแม่ให้ไปเส้นทางเดิม!!!

วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันที่เราต้องเข้าใจตัวเองเพื่อแก้ไขปัจจุบันและเดินหน้าสู่อนาคต

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2553
ฉันไปดูหมอมา...!!!! ใครจะคิดว่าหน้าร้านขายเสื้อผ้ารองเท้าผู้หญิงธรรมดาๆ แต่ภายในคือสำนักของหมอดูที่ทำนายทายทักแบบว่า Perfect ตามสโลแกนที่หมอแปะเอาไ้ว้ในร้าน

โดยทั่วไปเรื่องงานการ หมอไม่ได้พูดถึงมากนัก เพราะมันไม่ใชุ่จุดอ่่อนของฉัน ทายซิว่าจุดอ่อนของฉันคืออะไร...ถูกต้อง นึกถึงหน้าออฟ ปองศักดิ์เอาไว้แล้วร้องเพลง "จุดอ่อนของฉัน...อยู่ตรงที่หัวใจ" ฉันเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย และจะต้องลงเอยด้วยการ "อยู่เพียงลำพัง" ตามชะตาฟ้าลิขิต ถ้าไม่คิดจะลุกขึ้นมาท้าทายดวง และหมอก็ได้ขยี้ลักษณะนิสัยที่เป็นจุดอ่อนของฉันให้ได้กระจ่างใจ จนทำให้รู้เท่าทันตัวเองว่า อ้อ...มันเป็นเช่นนั้นเอง มิน่า...อ้อ...

การไปดูหมอครั้งนี้ จึงเป็นการเน้นอธิบายถึงเรื่องหรือเหตุการณ์ที่ผ่านมาและที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ทำนายอนาคตสักเท่าไหร่ ขอแค่ฉันเข้าใจอดีต เพื่อแก้ไขปัจจุบัน อนาคตมันก็จะดีเอง

เป็นเรื่องเหลือเชื่อ  ขณะที่ฉันนั่งฟังหมอ บอกตามตรงว่าฉันพยายามที่จะทำความเข้าใจกับสิ่งที่หมอพูดอย่างลำบากยากเย็นด้วยภาษาที่หมอใช้ และการอธิบายที่เป็นมหภาคมากๆ แต่เมื่อฉันออกจากร้านหมอ ในหัวฉันก็ปรากฏภาพสิ่งที่ฉันต้องทำนับจากวินาทีนี้ไปขึ้นมาอย่างแจ่มชัดเป็นข้อๆ ดังนี้
1. ฉันต้องใส่ใจและเลิกออกคำสั่งชี้นิ้วเป็นคุณนายกับคนรัก  ถ้าหากให้เขายังอยู่กับเรา  หมอย้ำสองสามครั้งว่า โชคดีนะที่มีคนรัก นั่นสิ  ถ้าไม่อยากอยู่คนเดียวในบั้นปลายก็จงพยายาม
2. ฉันต้องเลิกโทรจิตถึงใครบางคน เพราะยังไงเขาก็ "ไม่" กับฉัน ถึงแม้จะมีพื้นฐานอยู่บ้าง
3. ฉันต้องเลิกสูบบุหรี่และกินเหล้า เพื่อเพิ่มพลังแห่งจิตของตัวเอง และหมั่นสวดมนต์เพื่อเพิ่มบารมีแห่งพุทธคุณ
4. ฉันต้องกราบขออโหสิกรรมกับแม่ ที่ตั้งใจดูแลงานการในบ้านให้ฉันด้วยความเต็มใจ แต่กลายเป็นสร้างเวรสร้างกรรมให้ลูกโดยไม่ตั้งใจ เพราะมันเหมือนแม่ต้องมารับใช้ฉัน หมอตั้งข้อสังเกต ทำไมฉันถึงต้องทำงานทั้ง 7 วันโดยไม่ีมีวันได้หยุดพัก....เพราะแม่ฉันไม่เคยได้พักจากสิ่งที่ทำให้ฉันเลย

และนี่คือผลจากการ "คิดได้" จากคำพูดของหมอ และฉันลงมือทำ
1. ฉันไปกราบเท้าแม่เพื่อขออโหสิกรรม แม่บอกว่า อโหสิ ไม่เคยคิดว่าจะทำให้ลูกมีเวรมีกรรมเลย ฉันจึงออกคำสั่งเด็ดขาด ทำได้วันธรรมดา แต่ถ้าเสาร์อาทิตย์ ได้โปรดหยุดกิจทุกอย่าง ถ้าไม่อยากให้ลูกเหนื่อยตลอด 7 วัน แม่รับปากว่าจะสั่งส้มตำกินแทนการทำกับข้าว และจะไม่ซักผ้ารีดผ้าให้ในวันเสาร์อาทิตย์
2. ฉันเลิกสูบบุหรี่มาได้จะครบวันแล้ว และ cancel โอกาสที่จะืเอื้อให้ดื่มไปซะ และฉันสวดมนต์
3. ถึงในใจจะอยากอยู่คนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร แต่ในเมื่อปัจจุบันมันยังอยู่ไม่ได้ ฉันจึงต้องเดินหน้าต่อ โดยกลับไปพูดดี พูดหวาน และเอาใจใส่คนรัก  คิดซะว่าเขาคือกัลยาณมิตรคนหนึ่ง และฉันไม่ควรจะทำร้ายเขา
4. ฉันเลิกโทรจิตไม่ได้ แต่ฉันรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองมากขึ้นว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่้ แล้วหาอะไรทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ อยากเลิกจากอาการนี้ เพราะมีแต่ทำร้ายตัวเอง

ยังจำคำเตือนของหมออยู่ในหัวว่า...ไม่ต้องรีบ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ทุกอย่างมันมีจังหวะและเวลาของมัน ถ้าความรักของฉันดี ทุกอย่างในชีวิตก็จะดีตาม และที่มันไม่ดี อย่าโทษใคร เพราะฉันแพ้ใจตัวเองทั้งนั้น ดังนั้นฉันจึงพยายามที่จะเข้าใจตัวเองเพื่อที่จะเดินหน้าสู่อนาคตได้อย่างมั่นใจ ไม่ใช่คนที่เดินไปด้วยหัวใจที่อ่อนแอ เคยได้ยินมั้ย...ชัยชนะใดยิ่งใหญ่กว่าการชนะใจตัวเองนั้นไม่มี

ฉันจะเอาโล่ห์มาครอง คอยดูสิ!!!

ป.ล. ก่อนจากกันหมอทิ้งท้ายเอาไว้ว่า...อย่าขี้เกียจ...อุ๊ย...โดนอ่ะ ^_^

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เพียงคำที่เรามิเคยเอื้อนเอ่ยต่อกัน

อาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม 2553
จั่วหัวเรื่องด้วยการยืมชื่อหนังสือแปลของสำนักพิมพ์กำมะหยี่ (ของเพื่อนรัก) ขออนุญาตนะจ๊ะ เพราะมันเหมาะกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้
หมายเหตุ : เพียงคำที่เรามิเคยเอื้อนเอ่ยต่อกัน...นวนิยายแปลจากภาษาฝรั่งเศส โดยอธิชา มัญชุนากร กาบูล็องต์ นวนิยายแนวโรแมนติกที่พูดถึงสัมพันธภาพที่ไม่ปกติระหว่างพ่อกับลูกสาวที่ฉันชอบมาก มุขของพ่อที่พยายามทำในสิ่งที่เรียกว่าขอแก้ตัวกับลูกสาว มันสนุกจนแทบวางไม่ลง

ฉันต้องไปร่วมงานแต่งงานของน้องชาย ไม่ใช่น้องชายแท้ๆ แต่เป็นลูกชายของน้าสาว เป็นน้องชายที่ฉันได้ใกล้ชิดตั้งแต่เขาอยู่ในท้องแม่ ยังจำได้วันที่น้าท้องแก่และมาอยู่ร่วมชายคาบ้านของยาย ซึ่งมีิหลายคนอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่ ฉันกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น เป็นวัยรุ่นที่กำลังมีอารมณ์ซับซ้อนซ่อนเปรี้ยวแต่ไม่กล้าเปิด  เจอน้าสาวคนนี้บ่นเข้าให้ด้วยเรื่องอะไรจำไม่ได้ แล้วฉันเถียงกลับทันควัน โอ้โห...เกือบเอาชีวิตไม่รอด นี่แหละที่เขาว่าอย่าแหย่คนท้องแก่ จนน้าคลอดน้อง แล้วมาพักฟื้นกับยาย เราหลายคนช่วยกันเลี้ยง จนน้าแข็งแรงดีแล้วจึงอพยพกลับบ้านตัวเองไป  เราได้พบปะกันอยู่เนืองๆ โดยมีบ้านยายเป็นศูนย์กลาง เห็นพัฒนาการและการเติบโตของน้องชายคนนี้มาเรื่อยๆ จนจบการศึกษาเป็นหนุ่มหล่อรูปร่างสูงใหญ่ เริ่มชีวิตผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว และขณะนี้ก็เริ่มเป็นพ่อคน...น้องฉันเลือกวันพ่อแห่งชาติเป็นวันแต่งงาน

ด้วยวัยเพียงยี่สิบสี่ปี  หลายคนสงสัยถึงความพร้อมในการมีชีวิตคู่ โดยเฉพาะเมื่อกำลังจะมีสักขีพยานรัก แต่ฉันบอกกับพี่ชายของเขาที่โทรมาบอกข่าวเรื่องงานแต่งงานและเหตุผลไปว่า มันเป็นเรื่องที่ดี อย่าได้คิดว่าเป็นเรื่องอันน่าละอาย ฉันบอกใครต่อใครเสมอว่า เพียงแค่ถ้าใจพร้อมก็ลุยโลด!!!
และบรรทัดต่อจากนี้ไปคือสิ่งที่ฉันมิเคยได้เอื้อนเอ่ยกับใครในวันนั้น...

...เมื่อคนสองคนรักกันมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยเปลี่ยนใจ พักร้อน ขอเวลานอกไปคบหาคนอื่น และได้รับผิดชอบทำหน้าที่ของตัวเองด้วยการเรียนจนจบ มีงานทำ ให้พ่อแม่สบายใจแล้ว จะกลัวอะไรอีก ชีวิตต่อจากนี้เป็นเส้นทางที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง ยิ่งเป็นลูกผู้ชายยิ่งต้องยืดอกและเชิดหน้ารับผิดชอบ "ชีวิตใหม่" ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างสง่างาม และน้องทำถูกแล้วที่จัดงานแต่งงานบอกกล่าวผู้เกี่ยวข้องทุกคนให้ได้รับรู้ ทำทุกอย่างตามประเพณี เพื่อรักษาเกียรติของผู้หญิงที่ตัวเองรัก...ถึงไม่ใช่งานแต่งที่ใหญ่โตอะไร ถึงไม่ใช่งานแต่งที่สวยงาม และมีองค์ประกอบเลิศหรูสมบูรณ์แบบอย่างที่ทุกคนย่อมใฝ่ฝันถึง...แต่มันก็เป็นงานของเรา ที่มีเราเดินเคียงคู่กันตลอดเวลา


ฉันก็สังเกตเห็นแววตาของความหวาดหวั่นในดวงตาคู่สวยของเจ้าสาวขณะที่เดินไปทักทายแขกตามโต๊ะ  เป็นธรรมดาที่ต้องเกิดความรู้สึกแบบนี้ เพราะต่อไปนี้คือบทบาทของการเป็นเมีย แม่และสะใภ้ที่ต้องรับผิดชอบ  ฉันเห็นน้องชายจับมือเจ้าสาวเอาไว้ เขาอาจจะกำลังบอกเจ้าสาวให้รู้สึกมั่นใจ และปลอดภัยโดยที่ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่ฉันรู้สึกได้ว่าเขาสองคนกำลังพูดกันผ่านสัมผัสนั้น

อยากให้น้องทั้งสองคนมองงานแต่งงานที่ความหมายไม่ใช่รูปแบบของพิธีการ ความหมายของการมีคนสองคนเดินเคียงคู่กัน ความหมายของการที่คนสองคนจับมือพากันเดินไป ความหมายของคนสองคนที่ช่วยกันเตรียมการทุกอย่างเพื่อให้มีวันที่สำคัญวันนี้  มันคือมหัศจรรย์แห่งรัก แต่ในความรักต้องมีความเข้าใจเป็นพื้นฐาน ไม่เคยเห็นชีวิตคู่ของใครที่ไปรอดถ้าปราศจากความเข้าใจ

แต่ทั้งคู่จะไม่มีวันเข้าใจจนกว่าจะได้ใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกันจริงๆ  ถึงเวลานั้นบททดสอบประดามีจะดาหน้ากันเข้ามาท้าทายเหมือนเราไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยกับมัน ถ้ารากฐานแข็งแรงพอ คำว่าถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรก็จะเป็นจริงสมคำอวยพร ฉันภาวนาขอให้ทั้งคู่เข้าใจ....

ฉันกลับมาบ้านด้วยอารมณ์ที่หลากความรู้สึก  ดีใจที่ครอบครัวใหญ่ของเราได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ สะเทือนใจที่เห็นการยังไม่เปิดใจยอมรับความน่ายินดีของบางคน  และเศร้าใจกับตัวเอง...ฉันได้เห็นว่าที่พ่อที่กำลังตื่นเต้นกับการทำหน้าที่  ทำให้ฉันคิดถึงพ่อ...ถึงตอนนี้ไม่ได้ทำหน้าที่พ่อ แต่ยังไงก็ยังเป็นพ่อ...ฉันโทรหาพ่อของฉันในวันต่อมา

ความจริงฉันควรจะโทรหาพ่อเมื่อวาน แต่มันมักเป็นเช่นนี้เสมอ ฉันชอบดีเลย์ ไม่ค่อยอยากตามกระแส แต่ความจริงก็คือกำลังคิดสคริปท์ที่จะสนทนากับพ่อให้เป็นปกติต่างหาก

"ฮัลโหล...พ่อ แหม่มเอง"
"ใครนะ..."
"แหม่ม"
"น้ำ??? สวัสดีครับ"
จะเสียงหล่อทำไมเนี่ย  กลัวพ่อจะคิดว่ามีผู้หญิงโทรมาจีบฉันเลยรีบชี้แจงไปทันทีว่าฉันคือแหม่ม ลูกสาวพ่อต่างหาก  พ่ออึ้งไปชั่วครู่  ก่อนจะรีบพูดถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับฉัน เราสนทนากันเรื่องทั่วๆไป...พ่อทำอะไร...ก๊งอยู่...พ่อจะมาหาหมอที่กรุงเทพกลางเดือนใช่มั้ย...ใช่ๆ  ลูกมาหาพ่อสิ มานะ...จะไปหานะ จะพาพ่อไปกินข้าว...อย่าลืมบอกน้องด้วยนะให้มาหาพ่อ...ได้ๆ จะบอก น้องกำลังยุ่งเรื่องลูกสาว กำลังจะขวบแล้วนะ...ส่วนไอ้ตัวเล็กของแหม่มจะเข้าอนุบาลปีหน้า.....

พ่อแสดงการรับรู้ด้วยคำว่า...อืม...อืม...ไม่มีคำพูดอะไรมากกว่านี้...แต่ฉันก็เข้าใจ พ่อเลือกที่จะรับรู้เรื่องบางเรื่องและปิดใจกับเรื่องบางเรื่องที่มันทำให้พ่อเสียใจ...แต่ฉันก็เข้าใจ ถึงแม้จะแอบน้อยใจในบางครั้ง  และตั้งใจว่าจะพาพ่อไปกินข้าวให้ได้  เราจบการสนทนาด้วยการตัดบทของพ่อ  ฉันมองโทรศัพท์อยู่ชั่วครู่ก่อนจะกดปุ่มเลิกสนทนา พลางคิดว่า  นี่คือรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพ่อที่ต้องดำเนินไปจนกว่าจะตายจากกัน ความสัมพันธ์ที่มีช่องว่างให้เติมคำ แต่ไม่ต้องส่งคำตอบให้คุณครู  ไม่มีวันกลับมาสมบูรณ์ แต่ฉันก็ยอมรับมัน  

ถึงตอนนี้ก็ยังอธิบายมาเป็นคำพูดไม่ถูกว่าความคิดของตัวเองที่อยู่ในหัวมันคืออะไร บอกได้แค่ลักษณะที่อึนๆ นัวๆ แปลกๆ ไม่ได้อยากร้องไห้ แต่ก็ยิ้มไม่ออก สิ่งที่เขียนในครั้งนี้เลยมีอาการเหมือนกัน

ในนวนิยายเรื่องนั้น พ่อพยายามจะแก้ตัวกับลูก แต่ในชีวิตจริงลูกอย่างฉันพยายามจะแก้ตัวกับพ่อ...ฉันไม่รู้ว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน แต่ฉันกำลังทำ

ป.ล สิ่งที่มิเคยเอื้อนเอ่ยกับน้องอีกอย่างหนึ่งก็คือ...ซองของพี่อาจจะฟีบไปสักเล็กน้อย เพราะภาวะเศรษฐกิจ แต่รอตอนรับขวัญหลานแล้วกันนะ รับรอง...จัดเต็ม!!!  ^_^

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันที่นกไม่ได้ออกโบยบิน ^_T

 วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม 2553
วันนี้มีทริป "บ้านภูพอดี" ที่เขาใหญ่ บ้านพักของพี่ธงชัย ประสงค์สันติ นายจ้างของเรา  แต่ฉันไปไม่ได้ T_T มีเพียงตรียูงทองตัวผู้เท่านั้นที่ได้ไปแจม ส่วนตัวเมียอย่างฉันต้องปฏิบัติภารกิจนางงามที่กรุงเทพ ทั้งที่หัวใจอยากโบยบินตามไปด้วยเหลือเกิน
หมายเหตุ...นามปากกาทีมของฉันชื่อ "ตรียูงทอง" มีฉันเป็นนกยูงตัวเีมียแต่เพียงผู้เดียว นอกนั้นตัวผู้หมด

รายการเส้นทางนางงามของฉัน มีดังนี้
- ต่อดอกตั๋วจำนำสร้อยคอทองคำที่ยืมแม่ผัวมา...ฮาาาา
- จ่ายค่าไฟ
- จ่ายค่าโทรศัพท์
- พาแม่ไปทำผม ทำเล็บ
- พาลูกไปซื้อถุงน่อง
- พาลูกไปเรียนพิเศษ
- พาแม่พาลูกไปงานแต่งงานน้องชายตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เพราะเขาจะให้ลูกสาวฉันถือหมอน (12ขวบเอง
  นะ...จะดีเหรอออออ)
- ทำ Proposal งานพ่องานแม่ส่ง organizer คู่เวรคู่กรรม
- ทำ Plot ละครเทวดา...สาธุตอนใหม่สำหรับน้องซาร่า
- เขียนนิยายตอนแรกให้ได้ทีเหอะ
- อัพบล็อคตัวเอง หุหุหุ ^_-

เลยต้องยอมพับปีกตัวเองไว้ชั่วคราว  ไว้มีโอกาสค่อยหยิบมาสวมแล้วกระพือออกไปอีกครั้ง แต่คงต้องขอวีซ่าอนุญาตให้ออกนอกประเทศที่เรียกว่า "บ้าน"จากลูกและสามีล่วงหน้าเป็นปีๆ หรือบางทีรอเป็นปีๆ วีซ่าก็ยังไม่ผ่าน  เพราะในชุดความคิดของครอบครัว ไม่มีกิจกรรมใดที่แม่หรือเมียจะแยกตัวออกไปทำได้แต่เพียงลำพัง มันต้องไปเป็นชุด เคยเห็นภาพประกอบโฆษณาร้านบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างมั้ย...ชุดครอบครัวนั่นไง  ^_^

แล้วจะทำไงไม่ให้พลุ่งพล่าน...สั่งห้ามนกยูงตัวผู้โทรมารายงานความเคลื่อนไหวหรือส่งภาพบรรยากาศใดก็ตามที่ชวนให้ฉันอิจฉาตาร้อน...ก็ทำได้แค่ประชด ถึงห้ามจริงๆ มันก็ยังจะส่งมาให้ฉันดูอยู่ดี พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ จะดับทุกข์ต้องดับที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ปลายเหตุ เพราะฉะนั้นฉันต้องหาต้นเหตุให้เจอ

ฉันวิเคราะห์ต้นเหตุของความพลุ่งพล่านได้ดังนี้
- อยากไปเที่ยวคนเดียว ที่ไม่ได้ไปแบบชุดครอบครัว
- .....
- .....
เอ๊ะ  มันก็หาเหตุได้ีเพียงข้อเดียวเท่านั้น ไม่มีข้ออื่น ชัดๆ เป๊ะๆ...พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อหาต้นเหตุแห่งทุกข์ได้แล้ว ก็หาวิธีที่จะดับต้นเหตุแห่งทุกข์นั้นต่อไป

ฉันหาวิธีที่จะเป็นหนทา่งการดับทุกข์ ได้ดังนี้
- ทำใจ
- รอให้ลูกโต เดี๋ยวก็ได้เที่ยวเอง (แต่ตอนนั้นข้อเข่าอาจจะอักเสบจนทำให้เดินป่าปีนเข้าไม่ได้อีกแล้ว)
หรือ...
- หนี แล้วโกหกว่าไปทำงาน ไม่ไปไม่ได้
- ช่างมัน ก็ฉันจะไป บอกไปเลย อย่ามาห้าม
อืมมมมมมมมมมมมมม....เส้นทางนางงามมันไม่ง่ายเลยจริงๆ  มีทางแยกให้เลือกเดินตลอด จะทำตัวดีเป็นแม่นางฟ้าหรือชั่วช้าเป็นซาตานดี

แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ฉันเลือกที่จะเป็นแม่นางฟ้าที่แอบมีความคิดเลวชั่วช้าเป็นซาตานอยู่ในหัว เหอๆๆๆๆ แสดงว่าอำนาจฝ่ายดีของฉันยังกดอำนาจฝ่ายต่ำเอาไว้ได้อยู่ ไม่ยอมให้มันลุกขึ้นมากระพือให้ฉันทำในสิ่งที่เรียกว่า "เอาแต่ตัวเอง" ในวันที่ลูกและแม่กำลังต้องการฉันอยู่มากมาย

วันนี้นกอย่างฉันอาจจะยังไม่ได้โบยบิน
แต่น้ำเป็นของปลา ฟ้าเป็นของนกฉันใด
และปีกของฉันยังคง stand by อยู่ใกล้ๆ ไม่ได้หายไปไหน
ใครบอกว่านกยูงมันบินไม่ได้...สักวัน...ฉันจะบินให้ดู!!!!!!

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันที่ขี่ไม้กวาดไปหาแรงบันดาลใจที่ฮอกวอตส์

อังคารที่ 30 พฤศจิกายน 2553
ทั้งๆที่มีงานบทรอให้เขียนเพื่อส่งก่อนไปประชุมพรุ่งนี้เช้า แต่ฉันก็ยังอ้อยอิ่ง เรื่อยเปื่อย ไม่คิดจะเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อลงมือทำ  จริงๆแล้วคิิด แต่อำนาจฝ่ายต่ำเป็นฝ่ายชนะทุกครั้ง ทำให้ฉันตัดสินใจลุยเดี่ยวมุ่งหน้าสู่ "ฮอกวอตส์" ทันที ด้วยข้ออ้างซ้ำซาก...ฉันต้องการแรงบันดาลใจ 

"ต๊าย...hot นะยะ ช่วงนี้มีแต่คนต้องการตัวหล่อนทั่วบ้านทั่วเมือง โดยเฉพาะอาชีพเดียวกบฉันเนี่ย นังแรงบันดาลใจ"...สงสัยอยู่กับอารมณ์มนุษย์มากเกินไป ต่อมริษยาเลย sensitive

ฉันตีตั๋วหนัง (ใช้คำโบราณได้อีก) หนึ่งใบที่เก้าอี้ดำแหน่งเดิมเกือบทุกครั้งที่เข้าโรงหนัง...D1...เฉยๆนะไม่ใช่ D1 ประเภท1 สำหรับ "Harry Potter" กับเครื่องรางยมทูต ภาค1 หนังที่ฉันรอคอย อยากจะทำเก๋เป็นแฟนพันธุ์แท้ดูซะตั้งแต่ี่หนังเข้าโรงวันแรก แต่โอกาสไม่อำนวย ต้องไปช่วยราชการทำงานประกวดกะเทยโลกที่พัทยาซะก่อน...อืม...ชีวิตคนเรามักถูกบังคับให้เลือกเสมอ...การเอาใจช่วยพ่อมดหนุ่มน้อยปราบคนที่คุณก็รู้ว่าใคร กับการช่วยสร้างฝันให้กะเทยสากล...ฉันเลือกอย่างหลัง มิใช่เพราะมันดูยิ่งใหญ่แต่เป็นเพราะ...เงินค่าตัวค่า ^O^

หนังตัวอย่างล้วนแล้วแต่เป็น 3D จนนึกเอะใจ แล้วแฮรี่ พอตเตอร์ตูเป็น 3D ด้วยหรือเปล่าหว่า ความ
นอยเริ่มคืบคลานเข้ามาจนกลายเป็นครอบงำฉันโดยสมบูรณ์ เหลียวซ้ายแลขวามองหาแว่นตา 3D ในมือของชาวบ้าน ถ้าคนอื่นมีแสดงว่าฉันพลาดที่ลืมรับมา หรือไม่พนักงานโรงหนังนั่นแหละที่พลาด มันต้องแจกแว่นให้ก่อนเข้าโรงสิฟระ บร๊ะเจ้า!!!! แต่ทำไมฉันไม่มี!!! และเมื่อหนังแฮรี่ พอตเตอร์เริ่มฉาย ฉันก็ค้นพบว่า...ควรจะปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นน้องนอย  หนังเขาก็ฉายในระบบปกติ แต่อีนี่...เยอะ!

คร่อก...ใช่ค่ะ ฉันหลับหลังจากฉาก prologue ไม่นาน (อุ๊ย แอบเก๋..จำมาจากพี่วศิน ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้กำกับหนังไปแล้ว ฉันเคยเป็นทีมเขียนบทหนังเรื่อง "คู่แรด" กับเขา เขาเรียกฉากเปิดเรื่องให้น่าสนใจว่า prologue...หนูจำไม่ผิดใช่มั้ยคะพี่???) หลับไปประมาณ 15 นาที เพราะ...เมื่อคืนนอนดึกค่ะ หนังไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้น

หนังดูได้เพลินๆ และเมื่อออกจากโรงหนัง ฉันเกิดการตั้งคำถามว่า "ทำไมฉันจำอะไรเกี่ยวกับหนังไม่ได้เลย???" ตรงกันข้ามกับภาคแรกที่น่าตื่นเต้นไปซะหมด ตั้งแต่ชานชาลาที่ อะไร 1/2 นะ 9 ใช่มั้ย (เริ่มรู้สึกมั้ยคะว่าฉันมีสมองปลาทอง...จำอะไรไม่เคยได้เลย) โรงเรียนฮอกวอตส์  โรงอาหารมหึมาที่อาหารเยอะเว่อร์ บันไดเข้าห้องที่สลับเองไปมา รูปในกรอบหรือในหนังสือพิมพ์ที่เคลื่อนไหวและมีชีวิต ฯลฯ
และฉันก็ได้คำตอบ ว่าเพราะในช่วงเวลานั้นทุกอย่างที่เห็นมันเป็นสิ่งใหม่ เป็นปรากฏการณ์ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เราเลยตื่นเต้นที่จะติดตาม อยากรู้อยากเห็น....เจ เค โรวลิ่งและผู้สร้างหนังทำให้เรากลายเป็นวัยรุ่นได้อีกครั้ง

แต่เมื่อหนังมันเดินทางมาจนถึงเกือบภาคสุดท้าย จนนักแสดงเด็กน้อยกลายเป็นวัยรุ่น ความตื่นเต้นมีน้อยลง เพราะเราไม่ได้ผจญภัยกับความแปลกใหม่อีกแล้ว มันกลายเป็นอารมณ์ที่ deep down ของวัยรุ่นที่กำลังดิ้นรนเอาชนะ "คนที่คุณก็รู้ว่าใคร" ให้ได้อย่างเด็ดขาด...สะท้อนการพยายามประกาศตัวตนของวัยรุ่น ที่มีผู้ใหญ่เป็นศัตรูตัวสำคัญ...โถ!!! ลูก แต่ป้าน่ะ Forever Young นะจ๊ะ เราอยู่ข้างเดียวกัน ^_^

สรุปว่า...มันไม่มีของเล่นให้ฉันรู้สึก ว้าว!!! อีกแล้ว เอ๊ะ เต้นท์ลวงตานี่นับว่าใหม่หรือเปล่านะ ที่ภายนอกดูเล็กและแคบ แต่ภายในช่างโอ่โถง มีห้องเล็กห้องน้อยแถมเล่น step อีกต่างหาก...อืม แต่มันก็ไม่น่าตื่นเต้นอยู่ดี ดูเขาไม่ได้อยากจะเน้นของเล่น เลยไม่ได้ขยี้อุปกรณ์ชนิดนี้ให้เรารู้สึกว้าว!!! เขาให้ตามดูภารกิจของตัวละครเฟ้ยยย!!!

ฉันกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี  ดีที่ได้ออกจากบ้าน มาเจอหลายอย่างที่ไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง มีบางอย่างอาจจะเป็นมากกว่าที่เราคาดหวัง และอาจจะมีบางอย่างที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้คาดหวัง  ซึ่งทุกอย่างคือประสบการณ์อารมณ์ที่เราคงไม่ได้สัมผัส ถ้าเรานั่งอยู่กับบ้านเฉยๆ

ฉันเริ่มต้นเขียนบทอย่างอารมณ์ดี ดีที่ได้ทำงาน ดีที่ได้สร้างเรื่องราวผ่านตัวละคร เพื่อบอกบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในหัวให้คนอื่นได้สัมผัสด้วยตาู และหวังอยู่ลึกๆว่า...อยากให้ทุกคนได้สัมผัสมันด้วยหัวใจกับสิ่งที่ผลิตจากแรงบันดาลใจ  ที่ได้จากการขี่ไม้กวาดไปเยี่ยมโรงเรียนฮอกวอตส์ ^_^

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วันที่ออกจากบ้านไปหาแรงบันดาลใจ

อาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2553

ออกเดินทางจากบ้านเมื่อเย็นย่ำแล้ว ตั้งใจมากจะไปดูละครเวที "ม้า..แค่อยากเป็นม้า ไม่อยากเป็นคน"ของอาจารย์โยที่ Democrazy Studio ทั้งที่โดยปกติวันเสาร์อาทิตย์ฉันจะไม่รับกิจนิมนต์ แค่ขึ้นต้นนรกก็จะกินหัว ด้วยบังอาจใช้ภาษาของพระ พูดง่ายๆ ไม่ออกไปไหนจากบ้านในวันเสาร์อาทิตย์ถ้าไม่ใช่เรื่องของครอบครัว  แต่วันนี้จะเป็นการแสดงรอบสุดท้ายของละครเรื่องนี้...ฉันไม่อยากพลาด เพราะฉันขาดแรงบันดาลใจ

สิ่งแรกที่ไปถึงโรงละคร ไม่ใช่การนั่งอ่านสูจิบัตรละคร หรือพูดคุยกับเพื่อนพ้องน้องพี่ในวงการถึงละครที่กำลังจะเข้าไปดู แต่คือการดูไพ่ยิปซีกับหมออ้อย...คนละครที่มีเซ้นส์พิเศษจนนำมาสู่รายได้พิเศษ เป็นลูกค้าคนแรกของหมอ ทั้งๆที่หมอยังเปิดสำนักไม่เสร็จดีด้วยซ้ำ หรือแรงบันดาลใจฉันจะอยู่ที่คำทำนายของหมอดู  ไม่ใช่การเสพย์งานศิลปะ  ^_^

คำทำนายของหมออ้อยเป็นดังนี้...
งานที่เผ้ารอคอยด้วยความหวังและมั่นใจว่าต้องได้???...ไม่ได้หรอกค่ะ T_T
งานที่เฝ้ารอคอยที่จะลงมือทำต่อ และอาจจะมีรายได้ที่ดีและเพิ่มมากขึ้น???...ก็ต้องรอหน่อยนะคะ สักสองเดือน...^_T
งานที่อยากทำแต่ไม่ค่อยสร้างรายได้เท่าไหร่???...โอ้ย สบายมาก ทำเลยค่ะ...๑_๑
งานที่ไม่อยากทำเลย แต่เงินดีนะ แต่ไม่อยากทำอ่ะ???...ไม่ทำก็โง่แล้วค่ะ (อันนี้ตีความเอาเอง) มันเป็นงานที่ดีและพี่ก็จะทำได้ีดี และมีเงินเข้า...T_T

ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่หวัง  ทำให้ผิดหวัง และเซ็ง  หมออ้อยปลอบใจว่า "ทำใจค่ะ" วางเฉย ปรับอารมณ์ให้นิ่ง แล้วทุกอย่างมันก็จะผ่านไปได้ พี่ตายยากค่ะ (อันนี้ก็ตีความเอาเองเหมือนกัน)
ฉันจึงพยายามสะกดจิตตัวเอง ทางที่ดีที่สุดนับจากนี้ไป ทำอะไรลงไปต้องไม่สร้างความหวังที่เข้าข้างตัวเอง ให้คิดซะว่า....เขาเอาก็บุญแล้ว หรือ ไม่เห็นจะแคร์ สมองกูยังคิดออกมาได้เรื่อยๆว่ะ ประมาณนี้ดีกว่าที่จะคิดว่า...งานฉันดี ยังไงเขาก็ต้องชอบ หรือ เขาซื้ออยู่แล้ว เพราะมันคือปรากฏการณ์ คิดไปได้ไงฟระ!!!

ถึงเวลาเข้าไปดูละคร ตั้งแต่ต้นจนจบ สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกคือ ทำไมมันทำให้ฉันรู้สึกเหงาอย่างนี้ โดยเฉพาะคำถามแรกที่ละครถามคนดู "เหนื่อยไหมที่ต้องเป็นในสิ่งที่ไม่อยากเป็น" หรือ "คุณต้องเป็นในสิ่งที่ไม่อยากเป็นมานานแค่ไหนแล้ว" อะไรทำนองนี้แหละ

ผู้กำกับได้แรงบันดาลใจมาจากวรรณคดีพื้นบ้านเรื่อง "แก้วหน้าม้า" แก้วแค่อยากเป็นม้าแบบนี้ ไม่ได้อยากเป็นคนสวย แต่ผัวและลูกกลับยอมรับที่แก้วเป็นคนสวย  และจากเรื่อง Hear the Wind Sing ของนักเขียนชาวญีุ่ปุ่น มุราคามิ เมื่ออ่านผลงานของเขาฉันสัมผัสได้ถึงความเหงาและความเปล่าเปลี่ยวของมนุษย์ทั้งๆที่คุณอาจจะอยู่ในสถานที่ที่อึกทึกที่สุดในโลก  ละครสร้างบรรยากาศเหงาๆออกมาได้ดี และตอบ Theme ได้ชัดเจนว่า เมื่อต้องเป็นใครที่ไม่ได้อยากเป็น...ทรมานมั้ย  ตัวละครบางตัว ไม่มีทางเลือกไหนที่จะดีไปกว่าการ "สร้าง" ให้ตัวเองเป็นแบบนี้ต่อไปดีกว่าจะยอมรับคววามจริง  ตัวละครบางตัวเลือกที่จะออกจากสิ่งที่ "สร้าง" เพื่อไปเผชิญกับความเป็นจริง ฉันรู้สึกว่า ไม่ว่าใครจะเลือกสร้างหรือไม่สร้าง แต่ทุกคนเลือกที่อยู่บนจุดของสิ่งที่เรียกว่า "มันทำให้ฉันมีความสุข" แล้วฉันล่ะ ????

ฉันมีทั้งความสุขและความทุกข์กับสิ่งที่ฉันสร้างและไม่ได้สร้าง แจกแจงได้ดังต่อไปนี้...
งาน...ฉันเลือกที่จะไม่เสแสร้งทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน ผลลัพธ์คือ...โคตรสุขเลย แต่ก็โคตรทุกข์เลยเพราะการเงินมันไม่เสถียรสำหรับคนภาระเยอะอย่างฉัน  แต่ก็ทุกข์ไม่นานเพราะหาทางออกได้เสมอ จะกลัวอะไรในเมื่อเรามีกัลยาณมิตร (อันนี้ก็คิดเอาเอง ไม่รู้ว่าเพื่อนจะคิดว่าเราเป็นกัลยาด้วยหรือเปล่า หรือจริงๆแล้วมันรำคาญเรามาก เลยช่วยเพื่อตัดความรำคาญ)  และการได้ทำงานกรุบกริบ เป็นงานที่จำใจทำ เพื่อเอามาสนับสนุนหนทางแก้ไขความทุกข์อันเกิดจากการทำงานที่รักซึ่งเป็นงานหลัก

เมีย...อันนี้เป็นสิ่งที่ฉันเรียกว่า ผีเข้าผีออก เพราะบางวันฉันก็อยากควบหนีไปให้ไกลสุดขอบโลก บางวันฉันก็อยากได้โล่ห์ ฉันเลยทำหน้าที่ในสถานภาพนี้ได้ชนิดที่เรียกว่าสุดขั้ว...เลวร้ายสุดๆในวันที่ไม่ได้อยากเป็นเมีย  และดีโคตรๆในวันที่ฉันเกิดพุทธิปัญญา  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แอคชั่นของฉันมันล้วนขึ้นอยู่กับพืนฐานของอารมณ์ที่ว่า...ฉันอยากมีความสุข...เข้าขั้นโรคจิตแล้วใช่มั้ย


แม่...สถานภาพนี้ฉันเต็มใจที่จะเป็นโดยไม่ต้องสร้าง  ฉันมีความสุขในทุกขณะจิตที่ได้ดูแลเลือดเนื้อเชื้อไขทั้งสองคน ถึงแม้บางเวลาจะทำให้ฉันน้ำตาเล็ด แต่ก็แอบเช็ดแล้วหันมาหน้าชื่นได้ใหม่ได้เสมอ

ส่วนองค์ประกอบและหน้าที่อื่นๆของชีวิต เช่น การเป็นลูกของแม่ การเป็นเพื่อนของเพื่อน ฯลฯ...ขอไม่พูดถึง เพราะฉันฉันมีความสุขตลอดเวลากับหน้าที่เหล่าันั้น และคิดว่าตัวเองก็หน้าที่ได้ดี โดยไม่ต้องสร้างอะไร

ละครปิดฉากด้วยฉากที่ผ่านการคิดและออกแบบมาแล้วเป็นอย่างดี ต้องรสนิยมฉันเป็นอย่างยิ่ง ตัวละครเข้ามาอยู่ในฉากที่ set ให้เป็นที่นั่งคนดูในโรงละคร ทุกคนลงนั่งประจำที่ หันหน้าออกมาที่คนดู (ตัวจริง) ผู้กำกับแจกหัวม้าให้ทุกคน  แล้วไฟก็ค่อยๆดิมขึ้นที่ตำแหน่งที่นั่งคนดู(ตัวจริง) ส่วนที่น่งคนดู (ในฉากละคร) ก็ค่อยๆดิมลง  เราจะเห็นว่าตัวละครกำลังจ้องมองดูเราอยู่ เหมือนเราเป็นตัวละครที่โลดแล่นบนเวทีสำหรับเขา  จากนั้นเขาก็จะค่อยๆตัดสินใจว่าจะสวมหัวม้าหรือไม่สวม....ฉันชอบฉากนี้ และฉันก็ตัดสินใจว่า  เมื่อฉันออกจากโรงละครนี้ไป  ฉันจะถือหัวม้าเอาไว้สวมในเวลาที่จำเป็นต้องสวม แล้วจะควบให้ได้ความเร็วและแรงประมาณ 4500 แรงม้า  และจะถอดหัวม้าออกกลายเป็นคน ที่ไม่จำเป็นต้องวิ่งเร็ว และแรง แค่เดินไปอย่างช้าๆ ด้วยก้าวที่มั่นคง ยิ้มให้กับทุกคนและทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต...ก็พอ

ท้ายบท :
แต่ฉันต้องวิ่งเพื่อไปให้ทันรถของผู้ชายที่จะจอดแวะรับหน้าปากซอยโรงละคร จนไม่มีเวลาจะยิ้ม พูดคุยร่ำลากับเพื่อนพ้องน้องพี่อย่างที่ตั้งใจไว้....นี่แหละ ความจริงที่เกิดขึ้นมักสวนทางกับสิ่งที่คิดเอาไว้ในหัวอยู่เสมอ